หมดโควิด ถึงเวลาบูมลงทุน ภาคอสังหาฯ ในอีอีซี

หมดโควิด ถึงเวลาบูมลงทุน ภาคอสังหาฯ ในอีอีซี

พื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) เป็นพื้นที่เป้าหมายของการลงทุนขนาดใหญ่ ซึ่งในอีก 5 ปีข้างหน้า ตั้งแต่ปี 2566-2570 คาดว่าจะมีการลงทุนผ่านโครงการขนาดใหญ่จากทั้งภาครัฐและเอกชนรวมกันมูลค่ากว่า 2.2 ล้านล้านบาท

ทำให้คาดการณ์ว่าพื้นที่อีอีซีจะมีจำนวนประชากร (รวมประชากรแฝง) เพิ่มขึ้นเป็น 4.42 ล้านคนในปี 2570 ขณะที่ความต้องการจ้างแรงงานใหม่เพิ่มสูงขึ้นเช่นกัน คาด 5 ปี (2562-2566) จะมีความต้องการแรงงานใหม่มากถึง 475,668 คน 

รายงานจากสำนักยุทธศาสตร์องค์กร สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ระบุว่า ตลาดที่อยู่อาศัยในอีอีซีมีเม็ดเงินหมุนเวียนเฉลี่ยกว่า 100,000 ล้านบาทต่อปี ซึ่งในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา มีโครงการที่อยู่อาศัยสะสมแล้วกว่า 50,000 หน่วย มูลค่าการลงทุนสะสมกว่า 1.35 แสนล้านบาท

 

ปัจจุบัน มีนักลงทุนอสังหาริมทรัพย์ทั้งรายใหญ่และรายย่อยเข้ามาในพื้นที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะนักลงทุนท้องถิ่นทำให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์มีอัตราการขยายตัวในฝั่งอุปทานไม่น้อยกว่า 20% ต่อปี โดยมีสัดส่วนที่อยู่อาศัยแนวราบเพิ่มขึ้นจาก 60% เป็น 80% ขณะที่สัดส่วนของอาคารชุดและโรงแรมลดลงจาก 40% เหลือ 20% เนื่องจากความต้องการของผู้อยู่อาศัยเปลี่ยนไปหลังช่วงโควิด-19 ผู้ซื้อต้องการลดความเสี่ยงจากความแออัดของคอนโดและพื้นที่ทำงานที่บ้านที่มีความเป็นส่วนตัวมากขึ้น รวมทั้งยังมีคอนโดมิเนียมคงเหลือในตลาด โดยเฉพาะในเขตเมืองพัทยาและศรีราชา

ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (REIC) รายงานภาพรวมสถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยในพื้นที่อีอีซีไตรมาส 1 ปี 2565 มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นทั้งการออกใบอนุญาตก่อสร้างและการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัย สำหรับภาษีธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์หดตัวเล็กน้อยในไตรมาสที่ 1 แต่ในไตรมาสที่ 2 มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นมาก ขณะที่ยอดขายปูนซีเมนต์และเหล็กในไตรมาสที่ 1 และ 2 ของปี 2565 ยังหดตัว แม้ดัชนีราคาวัสดุก่อสร้างปรับตัวลดลงทุกไตรมาสตั้งแต่ต้นปี เนื่องจากผู้ประกอบการมีการสำรองวัสดุก่อสร้างไว้ล่วงหน้า

สำหรับภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยทั้งปี 2565 REIC คาดการณ์ว่าจะมีโครงการเปิดตัวใหม่ 20,270 หน่วย เพิ่มขึ้น 51.9% โดยมีมูลค่าเปิดตัวใหม่ 63,346 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 72.4% และมีจำนวนหน่วยขายได้ใหม่ 21,675 หน่วย เพิ่มขึ้น 7.3% มูลค่าขายได้ใหม่ 65,774 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.6%

นอกจากนี้ จากการสำรวจทำเลที่มีโครงการเสนอขายมากที่สุดในพื้นที่อีอีซี จัดลำดับ 5 อันดับแรกดังนี้

หาดจอมเทียน จำนวนที่อยู่อาศัย 7,671 หน่วย มูลค่าโครงการ 35,659 ล้านบาท

พัทยา-เขาพระตำหนัก จำนวนที่อยู่อาศัย 5,254 หน่วย มูลค่าโครงการ 29,490 ล้านบาท

แหลมฉบัง จำนวนที่อยู่อาศัย 1,901 หน่วย มูลค่าโครงการ 3,487 ล้านบาท

ศรีราชา-อัสสัมชัญ จำนวนที่อยู่อาศัย 1,443 หน่วย มูลค่าโครงการ 4,365 ล้านบาท

นิคมมาบตาพุด จำนวนที่อยู่อาศัย 831 หน่วย มูลค่าโครงการ 2,043 ล้านบาท หมดโควิด ถึงเวลาบูมลงทุน ภาคอสังหาฯ ในอีอีซี