กรมปศุสัตว์ทำลายซากสุกรลักลอบนำเข้า กว่า 12 ตัน ที่จังหวัดสงขลา

กรมปศุสัตว์ทำลายซากสุกรลักลอบนำเข้า กว่า 12 ตัน ที่จังหวัดสงขลา

กรมปศุสัตว์ทำลายซากสุกรลักลอบนำเข้า กว่า 12 ตัน ที่จังหวัดสงขลา ขณะ ผู้เลี้ยงหมูทั่วไทย “ลุกฮือ” ทวงถามรัฐ ปราบหมูเถื่อนให้สิ้นซากใช้เวลาอีกนานไหม

นายสัตวแพทย์สรวิศ ธานีโต อธิบดีกรมปศุสัตว์ เผยว่า ตามที่ท่าน นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้สั่งการให้กรมปศุสัตว์ ตรวจสอบสถานที่เก็บซากสัตว์ เพื่อป้องกันการลักลอบนำเข้าซากสัตว์จากต่างประเทศ ที่ไม่มีใบอนุญาต และให้บังคับใช้กฎหมายลงโทษผู้กระทำความผิดอย่างเคร่งครัด ล่าสุดอาศัยอำนาจตามพรบ.โรคระบาดสัตว์ พ.ศ.2558 ได้ทำลายซากสุกรลักลอบนำเข้ากว่า 12 ตันที่จังหวัดสงขลา

กรมปศุสัตว์ทำลายซากสุกรลักลอบนำเข้า กว่า 12 ตัน ที่จังหวัดสงขลา กรมปศุสัตว์ทำลายซากสุกรลักลอบนำเข้า กว่า 12 ตัน ที่จังหวัดสงขลา

กรมปศุสัตว์ ได้ดำเนินการตรวจสอบห้องเย็นและสถานที่เก็บซากสัตว์ในพื้นที่ต่างๆ อย่างเข้มงวดต่อเนื่อง พร้อมร่วมมือกับหน่วยงานในพื้นที่ โดยวันที่ 21 กันยายน 2565 กรมปศุสัตว์

โดยด่านกักกันสัตว์สงขลา ได้มีการรับมอบซากสัตว์ของกลาง ตามหนังสือด่านศุลกากรสงขลา เลขที่ กค 0502(32)/1842 ลงวันที่ 21 กันยายน 2565 เรื่อง ขอส่งมอบของกลางประเภทเนื้อสุกรแช่แข็ง เนื่องด้วย ด่านศุลกากรสงขลา ได้ดำเนินการจับกุมการลักลอบนำเข้าสินค้าซากสัตว์ประเภท เนื้อสุกรแช่แข็ง จำนวน 12,000 กิโลกรัม มีถิ่นกำเนิดต่างประเทศ

อันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 และพระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ. 2558 และได้มีการดำเนินการตามกฎหมายตามแฟ้มคดีด่านศุลกากรสงขลาที่ ศ.165/19.9.65 แล้วนั้น

เพื่อให้เป็นไปตามข้อตกลงระหว่างกรมปศุสัตว์กับกรมศุลกากร เรื่อง การปฏิบัติเกี่ยวกับกรณีที่มีการจับกุมดำเนินคดีลักลอบนำสัตว์หรือซากสัตว์เข้ามาในราชอาณาจักร ลงวันที่ 1 สิงหาคม 2544 ด่านกักกันสัตว์สงขลา ในฐานะสัตวแพทย์ตามกฎหมายว่าด้วยโรคระบาดสัตว์ ได้ทำการตรวจสอบซากสัตว์ดังกล่าว พบว่าไม่มีเอกสารหลักฐานใดๆ ที่รับรองสุขศาสตร์ซากสัตว์จากหน่วยงานที่รับผิดชอบ ทำให้มีความเสี่ยงต่อการนำเชื้อโรคระบาด

จึงอาศัยอำนาจตามมาตรา 40(4) แห่งพระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ. 2558 ประกอบกับกฎหมายว่าด้วยการทำลายซากสัตว์ จึงเห็นสมควรให้ดำเนินการทำลายซากสัตว์ของกลางดังกล่าว โดยวิธีการฝังกลบ และได้ดำเนินการเสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว บริเวณพื้นที่อำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา

 

กรมปศุสัตว์ทำลายซากสุกรลักลอบนำเข้า กว่า 12 ตัน ที่จังหวัดสงขลา กรมปศุสัตว์ทำลายซากสุกรลักลอบนำเข้า กว่า 12 ตัน ที่จังหวัดสงขลา

" กรมปศุสัตว์จะดำเนินการตรวจสอบสถานที่เก็บซากสัตว์ ป้องกันการลักลอบนำเข้า และบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อลงโทษผู้กระทำความผิดอย่างเข้มงวด ทั้งนี้ หากประชาชนต้องการแจ้งเบาะแส โปรดติดต่อเจ้าหน้าที่เพื่อขอรับข้อมูลเพิ่มเติม " 

 

นายประสิทธิ์ หลวงมณี เจ้าของบูรพาฟาร์ม อ.เมือง จ.ร้อยเอ็ด  กล่าวว่า  นับแต่การระบาด ASF ในประเทศที่เกิดขึ้นช่วงที่ผ่านมา จนถึงขณะนี้ผู้เลี้ยงยังไม่มีความมั่นใจในการเลี้ยงเท่าใดนัก  ทำให้มีการนำหมูเข้าเลี้ยงในจำนวนที่น้อยลงกว่าเดิมมาก โดยที่ฟาร์มของตนจากเดิมเคยเลี้ยงหมูแม่พันธุ์ที่ 700-800 ตัว ปัจจุบันก็เลี้ยงเพียง 100 กว่าตัว 

เนื่องจากต้นทุนการเลี้ยงหมูขณะนี้ค่อนข้างสูง โดยอยู่ที่ 98 บาทต่อกิโลกรัม  ส่งผลให้ราคาเนื้อหมูของไทยมีราคาที่สูงประมาณ 210-220 บาทต่อกิโลกรัม  แต่กลับมีเนื้อหมูเถื่อนและชิ้นส่วนลักลอบเข้ามาขายในราคาถูกมากเพียง 135 บาทต่อกิโลกรัม  นั่นหมายความว่าจะมีราคาหมูหน้าฟาร์มเพียง 60-70 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่ต้นทุนในต่างประเทศจะต่ำในระดับนี้

 

“ขณะนี้ผู้เลี้ยงได้ยกระดับการเลี้ยงด้วยการทำระบบไบโอซีเคียวริตี้ เพื่อป้องกันโรค ทำให้มีต้นทุนสูงมาก เกษตรกรส่วนใหญ่ยังไม่กล้าเสี่ยงที่จะเลี้ยงในจำนวนมาก  ยิ่งมีการลักลอบนำเข้าหมูจากต่างประเทศ มีความเสี่ยงที่จะนำ ASF เข้ามาด้วย  รวมถึงการปนเปื้อนสารเร่งเนื้อแดง  ซึ่งผลกระทบที่เกิดขึ้นไม่เฉพาะกับผู้เลี้ยง แต่ยังรวมถึงผู้บริโภค  จึงต้องการให้ภาครัฐ ทั้งกรมปศุสัตว์ และกรมศุลกากร กวดขันการนำเข้า ด้วยการตรวจอย่างจริงจัง แม้จะมีการสำแดงเป็นอาหารทะเลก็ตาม” 

 

ทั้งนี้ เนื้อหมูและชิ้นส่วนที่มีการลักลอบนำเข้ามา เป็นชิ้นส่วนที่ต่างประเทศไม่บริโภค  จึงไม่ต่างกับการสร้างมูลค่าให้กับขยะเหล่านั้น ทำให้เกษตรกรมีความกังวลกับความเสี่ยงของการเกิดโรคระบาดซ้ำในหมู ซึ่งไม่เพียงเป็นอันตรายต่อเกษตรกรผู้เลี้ยง  แต่ยังเป็นอันตรายต่อผู้บริโภคด้วย  เนื่องจากเนื้อหมูและชิ้นส่วนเครื่องในเถื่อนดังกล่าว อาจปนเปื้อนสารเร่งเนื้อแดง ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง 

 

นางฉวีวรรณ คีนซึล เจ้าของคานาอันฟาร์ม อ.อาจสามารถ จ.ร้อยเอ็ด  กล่าวว่า ฟาร์มเพิ่งกลับมาเลี้ยงใหม่ประมาณ 2-3 เดือน โดยเริ่มที่จำนวน 20 กว่าตัว  จากก่อนหน้านี้เคยเลี้ยง 200 กว่าตัว เนื่องจากยังไม่กล้าเลี้ยงจำนวนมาก ยิ่งมีการนำเข้าหมูเถื่อนกันมาอย่างต่อเนื่อง และขายในราคาที่ถูกมาก ทำให้ไม่มั่นใจในอาชีพที่ทำ

 

“ผู้เลี้ยงอึดอัดมาก หากปล่อยให้มีการนำเข้าหมูเถื่อนต่อไป จะไม่เป็นผลดีกับผลผลิตหมูไทย เพราะไม่รู้ว่าจะนำผลผลิตที่เลี้ยงได้ไปขายที่ไหน  จึงอยากให้ภาครัฐช่วยสกัดกั้นการลักลอบนำเข้าอย่างจริงจัง  เนื่องจากหากเนื้อหมูและชิ้นส่วน ปนเปื้อน ASF มาด้วย  เชื้อASF นั้นจะติดค้างอยู่ในห้องเย็นได้เป็นเวลานาน กลายเป็นการนำขยะกับเชื้อโรคเข้ามา ซึ่งจะส่งผลกระทบกับผู้เลี้ยงอย่างแน่นอน” นางฉวีวรรณ กล่าว

 

ก่อนหน้านี้ น.สพ.วรวุฒิ ศิริปุณย์ ประธานชมรมผู้เลี้ยงสุกรจังหวัดฉะเชิงเทรา กล่าวว่า เนื้อหมูที่ลักลอบนำเข้าหรือที่ตลาดเรียก "หมูกล่อง" ที่เก็บตามห้องเย็นต่างๆ เสมือนระเบิดเวลาของประเทศที่จะทำให้เกิดการระบาดไม่สิ้นสุด และเชื่อว่ากลุ่มแปรรูปผลิตภัณฑ์จากเนื้อหมู กลุ่มแปรรูปถนอมอาหารก็น่าจะสำรองเนื้อหมูเหล่านี้ไว้เช่นกัน โดยใช้เหตุผลที่ว่า "ไวรัสไม่ติดต่อสู่คน" มาเป็นประโยชน์ในการรับซื้อของขบวนการลักลอบนำเข้า

 

ขณะที่นายสุรชัย สุทธิธรรม นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ ย้ำว่า ทุกวันนี้ผู้เลี้ยงต้องแบกรับภาระต้นทุนดูแลทั้งกลุ่มพืชไร่-ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และชาวนา-ข้าว  ทำให้มีต้นทุนที่สูง โดยไตรมาสที่ 2-3/2565 อยู่ในช่วง 98-101 บาทต่อกิโลกรัม  ในขณะที่ราคาขายสุกรหน้าฟาร์มต้องให้ความร่วมมือกับกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ เพื่อดูแลผู้บริโภคในประเทศ แต่กลับมีเนื้อหมูลักลอบนำเข้ามาจำหน่ายในราคาที่ต่ำมาก เป็นการเอารัดเอาเปรียบผู้เลี้ยงสุกรไทย ที่ถึงขั้นสามารถทำลายการเลี้ยงสุกรไทยได้ จำเป็นที่ภาครัฐต้องหาวิธีที่เข้มงวดในการกำจัดขบวนการดังกล่าว.