“BEM” ทุ่มแสนล้านสายสีส้ม ยันผ่านเงื่อนไขตามเกณฑ์

“BEM” ทุ่มแสนล้านสายสีส้ม ยันผ่านเงื่อนไขตามเกณฑ์

BEM ยันไม่ห่วงประมูลสายสีส้ม พร้อมเจรจา รฟม.ข้อเสนอร่วม เปิดแผนระดมทุน 1.2 แสนล้าน เตรียมเปิดเดินรถช่วงศูนย์วัฒนธรรมฯ - มีนบุรี ปี 2568 ประเมินคืนทุนใน 7 ปี ศาลปกครองฯพิจารณาล้มประมูลสายสีส้มนัดแรกวันนี้ (15 ก.ย.)

แผนการกำหนดแนวเส้นทางเชื่อมระหว่างกรุงเทพมหานครทิศตะวันออกและทิศตะวันตก ระยะทาง 35.9 กิโลเมตร ผ่านรถไฟฟ้าสายสีส้ม ซึ่งแบ่งเป็น ส่วนตะวันออก (ช่วงศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย-มีนบุรี) ระยะทาง 22.5 กิโลเมตร จำนวน 17 สถานีและส่วนตะวันตก (ช่วงบางขุนนนท์-ศูนย์วัฒนธรรมฯ) ระยะทาง 13.4 กิโลเมตร จำนวน 11 สถานี ซึ่งล่าสุดการจัดหาเอกชนมาร่วมลงทุนดำเนินโครงการมีความคืบหน้าไปมาก

นายสมบัติ กิจจาลักษณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM เปิดเผยถึงการเข้าร่วมประกวดราคาในโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์ - มีนบุรี (สุวินทวงศ์) โดยระบุว่า จากที่การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ได้แจ้งให้บริษัทฯ ทราบถึงผลการประเมินคุณสมบัติและเทคนิคว่า บริษัทฯ ผ่านเกณฑ์และเสนอผลประโยชน์ให้แก่รัฐสุทธิ (NPV) -78,287.95 ล้านบาท โดยมาจากการการหักลบระหว่างส่วนที่เอกชนจะตอบแทนให้รัฐ กับเงินที่เอกชนขอให้รัฐช่วย ซึ่งถือเป็นข้อเสนอที่ดีที่สุดนั้น ทางบริษัทฯ ยืนยันว่าข้อเสนอทั้งหมดเป็นไปตามเงื่อนไขและกติกาที่รัฐกำหนดขึ้น

นอกจากนี้ ข้อเสนอของบริษัทฯ ยังดำเนินการตามข้อกำหนดทางวิศวกรรม (specification) งานโยธาและระบบรถไฟฟ้า วิธีการและเทคนิคการก่อร้างโดยเฉพาะการก่อสร้างงานอุโมงค์และสถานีใต้ดิน ซึ่งเป็นงานก่อสร้างใต้ดินที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ต้องดูแลความปลอดภัยสูงสุด ระบบรถไฟฟ้าที่จัดซื้อมีประสิทธิภาพสูง อายุการใช้งานนาน มาให้บริการแก่ประชาชน และมีข้อเสนอทางการเงินที่เป็นประโยชน์แก่รัฐทั้งในส่วนของเงินสนับสนุนค่างานโยธาที่ต่ำกว่าราคากลาง ทั้งนี้หากพิจารณาข้อเท็จจริงพบว่าราคาค่าก่อสร้างในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ปรับตัวสูงขึ้นมาก โดยบริษัทฯสามารถแบ่งผลประโยชน์เพิ่มเติมให้แก่ รฟม.ได้

อย่างไรก็ดี หากบริษัทฯ ได้รับการคัดเลือกเป็นผู้รับสัมปทานในโครงการดังกล่าว บริษัทฯ พร้อมที่จะเริ่มงานได้ทันที โดยมี บมจ.ช.การช่าง เป็นพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญในงานก่อสร้างรถไฟฟ้าใต้ดินเป็นอย่างมาก โดยบริษัทฯ มั่นใจว่าจะเปิดให้บริการส่วนตะวันออกได้ภายใน 3 ปีครึ่ง หรือภายในปี 2568 และส่วนตะวันตกได้ภายใน 6 ปี หรือภายในปี 2571 ตามแผนงานของ รฟม.ซึ่งตรงนี้ถือเป็นจุดเด่นของบริษัทฯ ที่ทำงานทุกโครงการประสบความสำเร็จ เปิดบริการได้ตามสัญญา เป็นไปตามแผน หรือก่อนแผนเสมอ

เปิดเเผนระดมทุน 1.2 แสนล้าน

นายสมบัติ กล่าวด้วยว่า บริษัทฯ ประเมินวงเงินการลงทุนในโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม คาดว่าจะใช้เงินทุนราว 1.2 แสนล้านบาท โดยจะจัดหาเงินทุนจากเงินกู้สถาบัน หรือออกหุ้นกู้ ไม่มีความจำเป็นต้องจัดตั้งบริษัทใหม่เพื่อเพิ่มทุน ทั้งนี้คาดการณ์ว่า รฟม.จะมีการเรียกเจรจากับบริษัทฯ เพื่อพิจารณาข้อเสนอที่ดีที่สุดในการดำเนินโครงการเร็วๆ นี้ ซึ่งบริษัทฯ พร้อมให้ความร่วมมือในการเจรจา หลังจากนั้น บริษัทฯ จะเริ่มงานก่อสร้างทันทีเพื่อเร่งรัดให้แล้วเสร็จตามแผน อีกทั้งจะเร่งติดตั้งระบบรถไฟฟ้า และจัดหาขบวนรถ เพื่อเริ่มให้บริการส่วนตะวันออก ช่วงศูนย์วัฒนธรรมฯ - มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ภายในปี 2568

ขณะที่การประเมินลงทุนในโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มนั้น บริษัทฯ ประเมินจากวงเงินลงทุนที่ใกล้เคียงกับรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน จึงคาดการณ์ว่าจะใช้เวลา 7 ปีถึงจุดคุ้มทุน (Break Even) ใกล้เคียงกับรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน โดยการคืนทุนดังกล่าว โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มจะต้องมีปริมาณผู้โดยสารเฉลี่ยอยู่ที่ 5 แสนคนต่อวัน

“บริษัทฯ มีความพร้อมที่จะดำเนินโครงการดังกล่าวตามข้อเสนอที่ระบุไว้ จากประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมา ไม่เคยมีประวัติทิ้งงานหรือส่งมอบงานล่าช้า อีกทั้งไม่เคยให้บริการรถไฟฟ้าที่ส่งผลกระทบต่อการบริการประชาชน และเราไม่มีความกังวลอะไรเกี่ยวกับโครงการที่เกิดขึ้นในขณะนี้ รวมทั้งเราจะไม่มีการฟ้องร้องกับภาครัฐ เพราะเรื่องการฟ้องร้องไม่ได้อยู่ในวิสัยของ BEM ไม่ได้อยู่ในดีเอ็นเอของเรา”

เมินทำรัฐเสียประโยชน์ชี้เงื่อนไขต่าง 

สำหรับกรณีที่มีเอกชนบางรายซึ่งไม่ได้เข้าร่วมการคัดเลือก เปิดเผยว่ามีข้อเสนอที่เป็นประโยชน์แก่ รฟม. มากกว่าที่บริษัทฯ เสนอ ก็ถือเป็นสิทธิของเอกชนรายนั้นจะทำ แต่เนื่องจากการให้ข้อมูลมีการพาดพิงถึงข้อเสนอของบริษัท ซึ่งอาจทำให้สังคมเกิดความเข้าใจผิดว่าข้อเสนอของบริษัทฯ ทำให้รัฐเสียประโยชน์ บริษัทฯ จำเป็นต้องชี้แจงว่า บริษัทฯ ได้จัดทำข้อเสนอที่เป็นประโยชน์แก่รัฐ เข้าร่วมการคัดเลือกภายในเงื่อนไข และกติกาที่รัฐกำหนด การนำข้อเสนอด้านการเงินอื่น ซึ่งไม่ทราบว่าอยู่บนเงื่อนไข สมมติฐานใด ผ่านเกณฑ์การประเมินของ รฟม.หรือไม่ มาเปรียบเทียบกับข้อเสนอด้านการเงินของบริษัทฯ คงไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบกันได้

ทั้งนี้ กรณีที่มีการตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้ยื่นข้อเสนอรายอื่นนั้น บริษัทฯ ไม่สามารถให้ความเห็นในเรื่องดังกล่าว หรือมีการตัดสินในเรื่องนี้ได้ เพราะเป็นอำนาจหน้าที่ของ รฟม.และคณะกรรมการ ม.36 แต่บริษัทฯ ยืนยันได้ว่าไม่มีความกังวลต่อเรื่องที่เกิดขึ้น และไม่ได้นำเรื่องต่างๆ มาเป็นข้อกังวลในการทำงาน เพราะบริษัทฯ ได้ยื่นข้อเสนอตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้แล้ว อีกทั้งมีจุดยืนที่จะไม่มีการร้องเรียนภาครัฐ หรือร้องเรียนใคร เพราะไม่ได้มุ่งเน้นในเรื่องของการร้องเรียน จากประสบการณ์ทำงานที่ผ่านมา

ทั้งนี้ เงื่อนไขการประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้ม ไม่ได้มีข้อจำกัดเรื่องการจ้างเหมาช่วง (ซับคอนแทรค) ในส่วนของงานโยธา โดยในข้อเสนอของบริษัทฯ ได้ระบุในการจ้างงานโยธา คือ บมจ.ช.การช่าง ดังนั้นหากบริษัทฯ จะจ้างผู้รับเหมารายอื่นในการก่อสร้างงานโยธา ก็สามารถดำเนินการได้ โดยจะต้องแจ้งรายละเอียดการจ้างไปยัง รฟม.เพื่อขออนุญาตจ้างงาน เบื้องต้นก็เชื่อว่าทุกโครงการลงทุนขนาดใหญ่ไม่สามารถดำเนินการก่อสร้างได้เพียงรายเดียว แต่ก็ต้องเลือกผู้รับเหมาที่มีความสามารถ มีประสบการณ์

ผู้ใช้ทาง-โดยสารหนุนธุรกิจฟื้นเร็ว

นายสมบัติ กล่าวด้วยว่า ในส่วนของผลการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ ในปี 2565 พบว่า ปริมาณผู้ใช้ทางด่วนฟื้นตัวกลับมาเร็วมาก ปัจจุบันเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 1.1 ล้านเที่ยวต่อวัน คิดเป็น 90% ของปริมาณผู้ใช้ทางก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่วนรถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงิน ปัจจุบันปริมาณผู้โดยสารเฉลี่ยอยู่ที่ 3.2 แสนเที่ยวต่อวัน คิดเป็น 85% ของปริมาณผู้โดยสารก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยคาดว่าภายในสิ้นปีนี้ ภาพรวมผู้โดยสารและปริมาณผู้ใช้ทางด่วนจะกลับเข้าสู่สภาวะปกติ และคาดการณ์ว่าในปี 2565 ผู้โดยสารรถไฟฟ้า จะเฉลี่ยอยู่ที่ 4.5 - 5 แสนเที่ยวต่อวัน ส่วนปริมาณผู้ใช้ทางด่วน คาดว่าจะกลับสู่สภาวะปกติในระดับ 1.2 ล้านเที่ยวต่อวัน

ขณะที่ผลประกอบการโดยรวม บริษัทฯ คาดว่าในปีนี้จะมีรายได้ทั้งปีอยู่ที่ประมาณ 1.5 หมื่นล้านบาท โดยมีกำไรงวดครึ่งปีแรก อยู่ที่ 970 ล้านบาท และคาดว่าทั้งปีนี้ จะมีกำไรเกิน 2 พันล้านบาท ซึ่งมากกว่าปี 2564 ส่วนแนวโน้มในปี 2566 คาดว่ารายได้ทั้งปี จะอยู่ที่ประมาณ 1.7 หมื่นล้านบาท โดยประมาณการณ์กำไรจะเพิ่มขึ้นมากกว่าช่วงก่อนเกิดโควิด-19 ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 3 พันล้านบาทเนื่องจากปัจจัยสนับสนุน อาทิ การเปิดให้บริการรถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงินครบทั้งเส้นทาง ประกอบกับการเปิดตัวโครงการใหญ่ๆ ตลอดเส้นทางรถไฟฟ้า ทั้งศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โครงการ One Bangkok , Singha Estate และ Samyan Mitrtown นอกจากนี้ในปีหน้าจะมีการเปิดให้บริการรถไฟฟ้าสายสีชมพูและสายสีเหลือง ซึ่งเป็นโครงข่ายที่จะช่วยเพิ่มการขนถ่ายปริมาณผู้โดยสารให้สายสีน้ำเงิน

ศาลปกครองฯ นัดพิจารณาคดีล้มประมูล

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ 15 ก.ย.2565 เวลา 09.30 น. ศาลปกครองสูงสุดนัดนั่งพิจารณาคดีครั้งแรก ในคดีหมายเลขดำที่ อ.572/2565 ระหว่าง บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (ผู้ฟ้องคดี) กับ คณะกรรมการคัดเลือกตามมาตรา 36 แห่ง พ.ร.บ.การร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) กับพวกรวม 2 คน ณ ห้องพิจารณาคดี 3 ชั้น 3 อาคารศาลปกครอง ถนนแจ้งวัฒนะกรุงเทพมหานคร

สำหรับคดีดังกล่าวสืบเนื่องจากผู้ฟ้องคดีฟ้องว่า ผู้ถูกฟ้องคดีกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย กรณีผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 (คณะกรรมการ ม.36) มีมติแก้ไขเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์และวิธีการพิจารณาผู้ชนะการประเมินของเอกสารคัดเลือกเอกชน และวิธีการประเมินข้อเสนอด้านเทคนิค ข้อเสนอด้านการลงทุน และผลตอบแทนในการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน การออกแบบและก่อสร้างงานโยธาส่วนตะวันตก การจัดหาระบบรถไฟฟ้า การให้บริการการเดินรถไฟฟ้าและซ่อมบำรุงรักษา โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) เป็นเหตุให้ผู้ฟ้องคดี ซึ่งเป็นผู้ซื้อเอกสารข้อเสนอการร่วมลงทุนได้รับความเดือดร้อนเสียหาย