ไทย-ซาอุ เห็นพ้อง เปิดเอฟทีเอ กับกลุ่มประเทศอ่าวอาหรับ พร้อมจัดตั้ง เจทีซี

ไทย-ซาอุ เห็นพ้อง เปิดเอฟทีเอ กับกลุ่มประเทศอ่าวอาหรับ พร้อมจัดตั้ง เจทีซี

“จุรินทร์” เผยผลหารือรัฐมนตรีระดับสูงซาอุฯ 5 หน่วยงานเห็นชอบให้เดินหน้าทำเอฟทีเอไทย-กลุ่มอาหรับ เผยซาอุฯรับเจรจากลุ่มประเทศ GCC พร้อมเดินหน้าตั้งJTC ไทย-ซาอุ มั่นใจการค้าการลงทุนทุกด้านจะเติบโตหลังจากนี้ ฟันธงปีนี้มูลค่าการค้า 2 ฝ่ายพุ่งเกือบ 2,000 ล้านดอลลาร์แน่

นายจุรินทร์  ลักษณวิศิษฏ์  รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังหารือกับคณะภาครัฐซาอุฯ โดยเฉพาะ 5 รัฐมนตรีกระทรวงสำคัญของซาอุฯ ได้แก่ กระทรวงพาณิชย์ แรงงาน ท่องเที่ยว การลงทุน และ อุตสาหกรรมและเหมืองแร่ รวมถึง ประธานสภาหอซาอุฯ และ ประธานองค์การอาหารและยาซาอุฯว่า ขณะนี้ มกุฎราชกุมารซาอุฯ ให้ความสำคัญกับประเทศไทยอย่างมาก และได้สั่งการให้รัฐมนตรีทุกคนให้ความร่วมมือกับไทยอย่างเต็มที่ทุกมิติ 

ทั้งนี้ ผลสรุปจากการหารือร่วมในครั้งนี้ ประกอบด้วย คือ 1. การเยือนครั้งนี้ ถือเป็นการเริ่มสร้างความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างไทย-ซาอุฯ อย่างเป็นทางการ ทั้งกลไกแบบรัฐต่อรัฐ (FTA และ JTC) และเอกชนต่อเอกชน (สภาธุรกิจร่วม) เป็นต้น โดยทางซาอุฯ รับเรื่องจะขอไปคุยกับ 6 กลุ่มประเทศอ่าวอาหรับ ได้แก่ ซาอุดีอาระเบีย อียิปต์ บาห์เรน เยเมน เขตปกครองด้านตะวันออกของลิเบีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์  ที่จะให้เกิดกรอบความร่วมมือเอฟทีเอหรือเอฟทีเอไทย-GCC ภายใต้ 6 กลุ่มอาหรับขึ้นให้ได้ในอนาคตไม่นานนี้ 

“หากความร่วมมือเอฟทีเอภายใต้เอฟทีเอไทย-GCC เกิดขึ้นถือว่าประเทศไทยเป็นกลุ่มประเทศที่ 2 รองจากสิงค์โปร์ที่ได้ทำเอฟทีเอกับ 6 ประเทศอาหรับด้วยกัน”นายจุรินทร์ กล่าว

อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะเห็นกรอบความร่วมมือ GCC เกิดขึ้น ทั้ง 2 ฝ่ายเห็นชอบให้จัดตั้งกลไก JTC ระหว่างกัน และจัดทำ roadmap แผนการดำเนินการชัดเจน โดยตั้งเป้าหมายให้มีการลงนาม memorandum of cooperation: MOC เพื่อจัดตั้ง JTC โดยเร็วภายในไม่เกินเดือน ธ.ค. 65 หรืออาจจะเร็วกว่านี้ ร่วมทั้งยังยินดีที่ภาคเอกชนของทั้ง 2 ฝ่ายได้บรรลุความตกลงร่วมกันในการจัดตั้งสภาธุรกิจไทย-ซาอุดิอาระเบีย Thai-Saudi Business ซึ่งจะมีการลงนาม MOU ร่วมกันในการเดินทางมาครั้งนี้ด้วย 

ทั้งนี้ ฝ่ายไทยยินดีสนับสนุน Saudi Vision 2030 ใช้โอกาสที่ซาอุฯ พัฒนาเมืองนีอุม สนับสนุนสินค้าที่ซาอุฯ ต้องการ อาทิ วัสดุก่อสร้าง บริการออกแบบ เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า อาหาร และฝ่ายซาอุฯ ตอบรับข้อเรียกร้องของฝ่ายไทยในการเร่งรัดผลักดันให้ SFDA เดินทางมาตรวจโรงงานไก่ไทยที่ขออนุญาตส่งออกเพิ่มอีก 28 โรงงานโดยเร็ว ตลอดจนพิจารณาตรวจโรงงานฮาลาลเนื้อสัตว์ประเภทอื่นเพิ่มเติม (อาหารทะเลแปรรูป เนื้อโค/แพะ) ซึ่งไทยจะยื่นรายชื่อโรงงานทั้งหมดให้กับ SFDA วันที่ 30 สค. นี้

นอกจากนี้ซาอุฯจะอำนวยความสะดวกให้นัธุรกิจไทยในการทำวีซ่าจากเดิมที่ต้องให้บริษัทคู่ค้าซาอุฯ ทำหนังสือเชิญมา จึงจะพิจารณาวีซ่าให้ แต่หลังจากนี้ก็จะเร่งแก้ปัญาให้เสร็จโดยเร็วเมื่อเสร็จแล้วต่อไปนี้นักธุรกิจไทยที่จะเดินทางมาทำการค้าการลงทุนที่ซาอุดีอาระเบียใช้แค่หนังสือรับรองจากสภาภาคเอกชนของไทยเท่านั้นจะทำให้การขอวีซ่าของภาคเอกชนที่เดินทางมาที่นี่สะดวกขึ้นต่อไปในอนาคต

ทั้งนี้ซาอุฯ ขอรับการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ โดยเฉพาะเรื่อง การบริการด้านต่างๆ เช่น สุขภาพ การแพทย์ และการท่องเที่ยว ที่ไทยมีจุดแข็ง โดยขณะนี้ ตั้งเป้าหมายจะอนุญาตให้พยาบาลต่างชาติเข้ามาทำงานในซาอุฯ เพิ่มขึ้นจำนวน 20,000 ตำแหน่ง ซึ่งจะเป็นโอกาสดีของพยาบาลจากประเทศไทย เนื่องจากมีความสามารถเป็นที่ยอมรับ และซาอุฯ เชิญนักธุรกิจไทยมาร่วมงานแฟร์ ในซาอุฯ เพื่อสร้างการตระหนักรู้ในสินค้าไทย ที่มีศักยภาพ ได้แก่ ผลไม้ เฟอร์นิเจอร์ การออกแบบก่อสร้าง รวมถึง soft power เช่น มวยไทย ที่ได้รับความนิยมมาก และซาอุฯ มีแร่ธาตุหลากหลายชนิด จึงขอเชิญไทยเยือนงาน Future Investment Initiative: FII เดือน ตค. 65 เพื่อแสวงหาโอกาสการลงทุนร่วมกันในการใช้ทรัพยากรดังกล่าวให้เกิดประโยชน์เชิงอุตสาหกรรม และที่สำคัญซาอุฯ วางแผนจะมีโครงการสร้างบ้านที่อยู่อาศัยเพิ่มเติมอีก 500,000 แห่ง และต้องการการร่วมมือกับไทยในหลายๆด้าน เช่นแรงงาน วัสดุก่อสร้าง ฯลฯ ซึ่งไทยยินดีสนับสนุน 

“ถือว่าการนำคณะเยือนซาอุฯในครั้งนี้ ถือว่าประสบผลสำเร็จอย่างสูง โดยเฉพาะการจัดทำกรอบความร่วมมือการค้าและการลงทุนทั้งเอฟทีเอและ JTC เป็นประวัติศาสตร์ของทั้ง 2 ประเทศเป็นอย่างมาก จะทำให้การค้าการลงทุนในทุกมิติของทั้ง 2 ฝ่ายร่วมถึงกลุ่มอาหรับจะเป็นประตูการค้าของไทยอย่างมาก ซึ่งผู้บริโภคซาอุฯชื่นชอบสินค้าไทย ดังนั้น โอกาสที่ตัวเลขส่งออกของไทยจะเพิ่มมากขึ้น โดยในช่วง 7 เดือนแรกปีนี้มูลค่าการค้าระหว่างกันเติบโตกว่า 26 %หรือคิดเป็นมูลค่า 1,112 ล้านดอลลาร์หรือคิดเป็นเงินบาทมากกว่า 38,000 ล้านบาท และคาดว่าตลอดปี 65 จะมีมูลค่ามากกว่า 2,000 ล้านดอลลาร์ได้อย่างแน่นอน” นายจุรินทร์กล่าว