“ราช กรุ๊ป” จ่อปิดดีลเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้ากว่า 700 เมกะวัตต์ภายในสิ้นปีนี้

“ราช กรุ๊ป” จ่อปิดดีลเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้ากว่า 700 เมกะวัตต์ภายในสิ้นปีนี้

“ราช กรุ๊ป” ทุ่มงบกว่า 30,000 ล้าน เร่งปิดดีลลงทุนโรงไฟฟ้าดันเป้าหมาย 700 เมกะวัตต์ภายในปีนี้ ย้ำกำไรครึ่งปีแรกกว่า 3,775 ล้าน รับอยู่ระหว่างหารือชิปเปอร์เผื่อนำเข้าก๊าซ LNG ยืนยันยังมีเวลาและเป็นไปตามแผนงานที่ตั้งไว้

นางสาวชูศรี เกียรติขจรกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ราช กรุ๊ป ขับเคลื่อนตามกลยุทธ์ 3G แบ่งเป็น G-1 (Growth) มุ่งแสวงหาโอกาสเติบโตในธุรกิจเพื่อต่อยอดและสร้างมูลค่าเพิ่มในอนาคต G-2 (Green) สนับสนุนด้านพลังงานทดแทน และยกระดับการจัดการด้านสิ่งแวดล้อม สังคม บรรษัทภิบาลตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน และ G-3 (Generate) เน้นประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจเพื่อสร้างผลตอบแทนที่คุ้มค่าและพัฒนาองค์กรสู่ความเป็นเลิศ

อย่างไรก็ตาม ปีนี้บริษัทฯ ตั้งเป้าขยายธุรกิจ โดยธุรกิจผลิตไฟฟ้าจะเพิ่มกำลังผลิตไม่ต่ำกว่า 700 เมกะวัตต์ และเพิ่มการลงทุนในธุรกิจนอกภาคการผลิตไฟฟ้าไม่น้อยกว่า 600 ล้านบาท พร้อมทั้งการจัดทำกลยุทธ์ความยั่งยืนและเป้าหมายในปี 2573 ซึ่งรวมถึงการพัฒนากระบวนการตรวจสอบสิทธิมนุษยชนอย่างรอบด้าน และกลยุทธ์การรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกด้วย

“ปีนี้ได้ตั้งงบลงทุนไว้จำนวน 30,000 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินลงทุนธุรกิจผลิตไฟฟ้า 28,000 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นเงินลงทุนในโครงการใหม่จำนวน 26,500 ล้านบาท และโครงการเดิมจำนวน 1,500 ล้านบาท ส่วนเงินลงทุนในธุรกิจนอกภาคการผลิตไฟฟ้า จัดสรรไว้จำนวน 2,000 ล้านบาท โดยเป็นเงินลงทุนโครงการใหม่ 1,400 ล้านบาท และโครงการเดิม 600 ล้านบาท”

ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังคงยึดแนวทางการลงทุนในรูปแบบการซื้อ หรือร่วมทุนในกิจการที่ดำเนินงานแล้ว ซึ่งจะช่วยรักษาเสถียรภาพของกระแสเงินสดและสภาพคล่องของบริษัทฯ และสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน ตลอดจนคุณค่าร่วมแก่ผู้มีส่วนได้เสียด้วย โดยในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้ใช้เงินลงทุนจำนวน 1,454.81 ล้านบาท โดยมี 4 โครงการเดิมในธุรกิจผลิตไฟฟ้า และ 1 โครงการใหม่ในธุรกิจนอกภาคการผลิตไฟฟ้า

“ในครึ่งปีแรก บริษัทฯ รับรู้กำลังการผลิตที่เดินเครื่องเชิงพาณิชย์ตามการถือหุ้นรวม 7,384.63 เมกะวัตต์ จากกำลังการผลิตรวม 9,219.33 เมกะวัตต์ โดยในครึ่งปีหลัง โรงไฟฟ้าพลังงานลมอีโค่วิน กำลังการผลิตตามการถือหุ้น 15.16 เมกะวัตต์ ในเวียดนาม และส่วนขยายของโรงไฟฟ้าราชโคเจนเนอเรชั่น กำลังการผลิตตามการถือหุ้น 31.20 เมกะวัตต์ มีกำหนดจะเดินเครื่องเชิงพาณิชย์”

สำหรับ ผลการดำเนินงานรอบ 6 เดือนแรกของปี 2565 บริษัทฯ รับรู้รายได้เพิ่มขึ้น 91% มีรายได้รวม จำนวน 36,699.36 ล้านบาท ต้นทุนและค่าใช้จ่ายรวม จำนวน 33,456.76 ล้านบาท และกำไรส่วนของบริษัทฯ จำนวน 3,775.45 ล้านบาท ฐานะการเงินของบริษัทฯ ณ วันที่ 30 มิ.ย. 2565 มีสินทรัพย์รวมจำนวน 188,519.68 ล้านบาท หนี้สินรวมจำนวน 79,104.32 ล้านบาท และส่วนของผู้ถือหุ้นจำนวน 109,415.36 ล้านบาท ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังมีศักยภาพทางการเงินที่แข็งแกร่งสะท้อนจากอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุน 0.24 เท่า และอัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น 8.25%

ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานช่วงครึ่งปีแรกมาจากโรงไฟฟ้าราชบุรี กลุ่มโรงไฟฟ้าในออสเตรเลีย โรงไฟฟ้าพลังงานน้ำอาซาฮาน ในอินโดนีเซีย และโรงไฟฟ้าสหโคเจนชลบุรี รวมทั้งโรงไฟฟ้าที่เดินเครื่องเชิงพาณิชย์อีก 2 แห่ง ได้แก่ โรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมเรียว ในอินโดนีเซีย ที่ผลิตและจำหน่ายไฟฟ้า ให้กับการไฟฟ้าอินโดนีเซียเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปีนี้ ภายใต้สัญญาระยะยาว 25 ปี และโรงไฟฟ้าเน็กส์ซิฟ ราช เอ็นเนอร์จี ระยอง ที่เดินเครื่องผลิตไฟฟ้าจำหน่ายให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เมื่อเดือนเม.ย. 2565 ภายใต้สัญญาระยะยาว 25 ปี

อย่างไรก็ตาม ด้วยความผันผวนของราคาเชื้อเพลิง รวมทั้งค่าใช้จ่ายจากการบริหารต้นทุนทางการเงินและการจัดหาเงินทุนเพื่อรองรับการลงทุนที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต จนส่งผลต่อต้นทุนและค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ทำให้กำไรงวดนี้มีจำนวน 3,775.45 ล้านบาท ลดลง 10.3% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2564

“การขขยายกำลังผลิตไฟฟ้าปีนี้ 700 เมกะวัตต์ อยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงหลักและพลังงานทดแทน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ คาดว่าจะสามารถบรรลุข้อตกลงได้ภายในไตรมาส 3 ปีนี้ ส่วนธุรกิจนอกภาคการผลิตไฟฟ้า ยังมุ่งเป้าหมายที่ธุรกิจบริการสุขภาพ และนวัตกรรมด้านพลังงานซึ่งจะดำเนินการผ่านบริษัท อินโนเพาเวอร์ จำกัด ที่บริษัทฯ ร่วมถือหุ้น 30% ส่วนแผนการนำเข้าก๊าซ LNG ถือว่ายังมีเวลา โดยอยู่ระหว่างหารือกับชิปเปอร์โดยเป็นไปตามกำหนดและเป็นไปตามแผน”