CPALL คาดผลงานครึ่งหลังโตต่อเนื่อง รุกเปิด 7-11 ไทย-กัมพูชา-ลาว

CPALL คาดผลงานครึ่งหลังโตต่อเนื่อง รุกเปิด 7-11 ไทย-กัมพูชา-ลาว

ซีพีออลล์ คาดผลงานครึ่งปีหลังสดใส คาดเติบโตต่อเนื่อง หากเทียบกับครึ่งปีแรก เดินหน้ารุกเปิดสาขาต่อเนื่อง คาดในประเทศตามเป้า 700สาขาปีนี้ และกัมพูชา ลาว ชี้ต้นทุนดอกเบี้ยขึ้นไม่กระทบ หลังส่วนใหญ่เป็นหุ้นกู้คงที่90%

       นางสาวจิราพรรณ ทองตัน หัวหน้านักลงทุนสัมพันธ์ บมจ. ซีพี ออลล์ (CPALL)  กล่าวว่า สำหรับผลการดำเนินงานครึ่งปีหลัง คาดว่าจะเติบโตได้ต่อเนื่อง หากเทียบกับครึ่งปีแรกที่ผ่านมา ที่มีรายได้รวม 413,387 ล้านบาท และกำไรสุทธิที่ 6,457 ล้านบาท

      จากแนวโน้มการกลับมาเดินทางท่องเที่ยว การบริโภคที่ยังมีต่อเนื่อง บวกกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ เช่นคนละครึ่งเหล่านี้จะหนุนการบริโภคในประเทศกลับมาคึกคักอีกครั้ง เช่นเดียวกันเดลิเวอรี่

     ประกอบกับผ่อนคลายมาตรการควบโควิด-19 ส่งผลให้มีการเปิดประเทศ การกลับมาทำงาน และกลับมาเรียนหนังสือได้ตามปกติ เหล่านี้น่าจะเป็นปัจจัยบวกต่อร้านค้าสะดวก ซุปเปอร์มาเก็ตต่างๆด้วย

      ดังนั้นคาดหวังว่า ทั้ง 3 ธุรกิจหลักของบริษัทยอดขายน่าจะกลับมาเติบโตดีขึ้นต่อเนื่อง หากเทียบกับครึ่งปีแรกที่ผ่านมา อีกทั้งในส่วนของ delivery มองว่ายังเติบโตได้ต่อเนื่องเกิน 10% หากเทียบกับปีที่ผ่านมา 

      “แนวโน้มผลประกอบการครึ่งปีหลัง คาดว่าจะเติบโตดีขึ้น จากครึ่งปีแรก เพราะวันนี้ เซ็นติเมนท์ที่ดีขึ้นจาก การเข้าสู่ภาวะปกติ การกลับมาเรียน กลับมาทำงาน ทำให้การจับจ่ายใช้สอยการเข้าร้านค้าสะดวกซื้อ เข้าซุปเปอร์มาเก็ตยังเติบโตดีขึ้นต่อเนื่อง 
       ส่วนภาพรวมการเปิดสาขาของบริษัท บริษัทยังเชื่อว่าการเปิดสาขา จะยังเป็นไปตามเป้าหมายที่ 700 สาขาในปีนี้ โดยเฉพาะสาขาในต่างจังหวัด ที่ยังมีหลายโลเคชั่นที่ยังสร้างโอกาสและยอดขายมากขึ้นในอนาคต

      รวมถึงพื้นที่ห่างไกลต่างจังหวัด ที่จะเห็นการขยายสาขาออกไปต่อเนื่อง ส่วนจำนวนลูกค้าที่เข้ามาจับจ่ายในเซเว่นฯนั้น จะกลับไปสุ่ 1.1-1.2พันคนต่อสาขาเมื่อไหร่นั้น มองว่า เมื่อระดับนักท่องเที่ยวกลับมาฟื้นตัวตามปกติระดับ 40ล้านคน ก็อาจเห็นยอดผู้ใช้บริการผ่านเซเว่นฯ กลับไปสู่ระดับก่อนโควิด-19ได้ 

     สำหรับการเปิดสาขาในต่างประเทศ ปัจจุบัน บริษัทมีสองใบอนุญาตหรือไลเซ่นส์ ที่กัมพูชา และลาว ปัจจุบันเปิดสาขาที่กัมพูชาไปแล้ว 20สาขา ซึ่งถือว่าได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า และมียอดขายสูงกว่าไทย เพราะผู้บริโภคมองว่า การเปิดร้านสะดวกซื้อผ่านแบรนด์เซเว่นฯ ถือเป็นพรีเมี่ยมสโตร ทำให้ผลตอบแทนออกมาน่าพึ่งพอใจ

      ขณะเดียวกันคาดว่าจะสามารถเปิดสาขาแรกในลาวได้ต้นปีหน้า 
ทั้งนี้บริษัทยังคงมองว่าโอกาสรูปแบบต่างๆต่อเนื่อง เพื่อการขยายธุรกิจในต่างประเทศ โดยเฉพาะใน2ประเทศข้างหน้า ทั้งผ่านการจับมือกับพันธมิตร พาสเนอร์ชิฟ เหล่านี้จะเป็นตัวเร่งสปีทในการขยายสาขาเซเว่นได้เพิ่ม

      ซึ่งน่าจะเป็นหนึ่งกำลังสำคัญในการหนุนกำไรในระยะกลางและระยะยาวให้กับบริษัทในระยะข้างหน้า 
       ส่วนภาระดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น จากการปรับขึ้นดอกเบี้ยของคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)นั้นกระทบต่อบริษัทหรือไม่ มองว่าไม่กระทบ เนื่องจากปัจจุบันบริษัทมีภาระหนี้อยู่ที่ 2.4 แสนล้านบาท โดย 90% เป็นหุ้นกู้ที่มีดอกเบี้ยเงินกู้แบบคงที่ (Fixed Rate) และอายุหุ้นกู้ 5-6 ปี

      ทดังนั้นจากดอกเบี้ยขาขึ้นมองว่า จุดนี้บริษัทไม่ได้กังวลมากนัก เพราะหากดูภาระหนี้ของบริษัท คิดอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยต่ำกว่า 4% 
ส่วนหุ้นกู้ที่จะหมดอายุในช่วง 12เดือนข้างหน้า มูลค่า 1.9 หมื่นล้านบาท  จะมีการต่ออายุหรือไม่ ภายใต้ดอกเบี้ยขาขึ้น ในระยะข้างหน้าบริษัทคงพิจารณาตามความเหมาะสม

      ซึ่งคงมีทั้งการออกใหม่ และการต่ออายุ แต่ด้วยต้นทุนดอกเบี้ยที่สูงขึ้น อาจทำให้มีการพิจารณาออกหุ้นกู้ที่มีอายุยาวขึ้นเพื่อให้ได้ดอกเบี้ยที่เหมาะสมกับพอร์ตของบริษัท 
      “ส่วนการลงทุนในระยะข้างหน้าของบริษัท ถือว่าเกิดขึ้นตลอด แต่มองว่าวันนี้ด้าน balance sheet หรือภาระหนี้สินของบริษัทยังต่ำ อัตราส่วนวัดภาระหนี้สิน (Leverage Ratio) ยังอยู่ระดับต่ำ อยู่เพียง 1เท่า ดังนั้นมีความสามารถในการก่อหนี้เพิ่มได้อีก เพื่อรองรับการลงทุนในระยะข้างหน้า ไม่จำเป็นต้องรบกวนู้ถือหุ้นในการเพิ่มทุนในระยะข้างหน้า”