ภาพรวมยังมีแนวโน้มผันผวนในทางลง (24 ส.ค. 2565)

ภาพรวมยังมีแนวโน้มผันผวนในทางลง (24 ส.ค. 2565)

ภาพรวมการลงทุนต่างประเทศยังชะลอตัวรอดูการประชุมประชุมประจำปีเฟด ตัวเลขเศรษฐกิจส.ค.ชะลอตัวลง โดยยุโรปดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI Composite) ออกมา 49.2 (คาด 49.0) ชะลอลงจากมิ.ย.ที่ 49.9

ขณะที่สหรัฐฯ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI Composite) ออกมา 45 (ไม่มีคาดการณ์) ชะลอลงจากมิ.ย.ที่ 47.7 นอกจากนี้ สหรัฐฯ รายงานว่า ยอดขายบ้านใหม่ ก.ค. ลดลง 12.6% MoM และ 29.6% YoY สู่ระดับ 511,000 ยูนิตต่ำสุดนับตั้งแต่ม.ค.59 ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ 575,000 ยูนิต และลดลงจาก มิ.ย.ที่ 585,000 ยูนิต บรรยากาศทางเศรษฐกิจที่ชะลอทำให้ความสนใจของนักลงทุนอยู่ที่ทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่จะมีการประชุมประจำปี 25-27 ส.ค.

ภาพรวมการลงทุนในประเทศผันผวนจากเรื่องวาระการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ตลาดหุ้นปรับขึ้นแรงหลังมีรายงานข่าวนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พูดคุยกับครม.เกี่ยวกับแนวทางคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้เรามองไม่ว่าคำตัดสินจะออกมาในทางไหน จะไม่กระทบกับกรอบการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากกฎหมายลูกประกอบการเลือกตั้งยังไม่แล้วเสร็จ ทำให้ รัฐบาลรักษาการอาจอยู่ในอำนาจได้นาน 5-6 ซึ่งทำให้กรอบการเลือกตั้งยังน่าจะอยู่ในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่อาจจะไมได้เกิดเร็วอย่างที่ตลาดคาด อาจทำให้ดัชนีหุ้นผันผวนกลับทาง นักลงทุนจึงควรมองตัวหุ้นเป็นหลัก มากกว่าการมองความเคลื่อนไหวของดัชนี
 

กลุ่มพลังงานต้นน้ำเริ่มกลับมาน่าสนใจ กลุ่มโรงกลั่นบวกช่วงสั้นแต่ระวังงบไตรมาส 3/65 เนื่องจาก 1) ราคาน้ำมันดิบเริ่มฟื้นตัวหลังมีรายงานโอเปคและพันธบัตรมิตรอาจลดกำลังการผลิตในการประชุม 5 ก.ย. 2) เข้าสู่หน้าหนาวของยุโรป 3) ใกล้ถึงกำหนดการบังคับใช้ข้อห้ามการซื้อขายน้ำมันจากรัสเซียที่จะมีผล 5 ธ.ค. เรามีมุมมองดังนี้ 1) PTTEP กลับมามีความน่าสนใจในการเก็งกำไร 2) BANPU ระยะสั้นอาจมีแรงเก็งกำไรจนถึงการประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล ซึ่งคาดว่าจะสูงถึง 1.2-1.5 บาท/หุ้น 3) กลุ่มโรงกลั่น ฟื้นตัวจากจิตวิทยาเชิงบวกของกลุ่มพลังงานใยระยะสั้น แต่อาจต้องระวังผลประกอบการไตรมาส 3/65 ที่น่าจะชอลอตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ ก่อนกลับไปฟื้นตัวในช่วงไตรมาส 4/65

ประเด็นเก็งกำไรอื่น 1) กลุ่มได้ประโยชน์จากคนละครึ่งเฟส 5 อาทิ OSP, CBG, ICHI, SAPPE, TNP, KK, MAKRO 2) กลุ่มท่องเที่ยว AOT, CENTEL, ERW, MINT, BAFS, AAV, SHR, VRANDA, SPA 3) กลุ่มเปิดเมือง CPALL, MAKRO, MAJOR, MBK 4) มาตรการสนับสนุน EV ได้แก่ EA, GPSC, PIMO  5) หุ้นได้ประโยชน์จากการกระตุ้นเศรษฐกิจจีน BABA80, TENCENT80, CHINA, STAR5001 6) เก็งกำไรทางเทคนิค CPALL, SCGP, TOP, RATCH, CRC, CPF, RS, SC, TH, TLI, BAM

ภาพรวมกลยุทธ์: เก็งกำไรแบบเผื่อตลาดผันผวนลงในช่วง 1 เดือนหน้า เน้นเลือกรายตัวหุ้นที่ยังขึ้นไม่มากและไม่ไล่ราคา ภาพใหญ่เน้นเลือกซื้อ กลุ่มหุ้นเปิดเมือง (ซื้อ: ท่องเที่ยว ห้างสรรพสินค้า ธนาคาร กองรีทส์/ สะสมค้าปลีก) สำหรับ DR หุ้นจีน ทยอยสะสม  สำหรับการเก็งกำไร เน้นหุ้นที่ยังปรับขึ้นน้อย   //หุ้นแนะนำ:  PTTEP*, SPA*, , RAM*, TVDH*

แนวรับ: 1,605-1,620 / แนวต้าน : 1,635-1,645 จุด สัดส่วน : เงินสด 50% : พอร์ตหุ้น 50%
 

ประเด็นการลงทุน

ILINK – เต็งคว้างานโครงการก่อสร้างสายเคเบิลใต้น้ำเกาะเต่า มูลค่า 1,786 ล้านบาท ประกาศผลประมูลไตรมาส 3/65 พร้อมลุ้นต่อโครงการสายเคเบิลใต้น้ำเกาะสีชัง มูลค่า 800-900 ล้านบาท เปิดประมูลไตรมาส 4/65 ค่าไฟเยอรมนีพุ่ง 25 บาทต่อหน่วย – หนุนราคาเชื้อเพลิงถ่านหินโอกาสทะลุ 500 เหรียญฯ ต่อตัน 

BANPU – มั่นใจผลงานไตรมาส 3/65 โต หลังธุรกิจแหล่งพลังงานได้รับอานิสงส์ราคาถ่านหิน-ก๊าซ ทะยานต่อครม.อนุมัติงบ 2 หมื่นล้าน หนุนเศรษฐกิจ – ครม. อนุมัติงบประมาณวงเงิน 18.4 พันลบ. เพื่อเป็นค่าบริหารสาธารณสุข ภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติปี 65 รอบที่ 4 ที่เกี่ยวข้องกับโรคโควิด-19 และอีก 2.9 พันล้านบาท กระตุ้นอุตสาหกรรมอีวี

ดัชนี PMI รวมภาคผลิต-บริการสหรัฐหดตัว - เอสแอนด์พี โกลบอลเปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิตและภาคบริการเบื้องต้นของสหรัฐ ปรับตัวลงสู่ระดับ 45.0 ในเดือนส.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 27 เดือน จากระดับ 47.7 ในเดือนก.ค.

Opportunity day –24 ส.ค. – PF, TVDH, FPI, BEC, LEO, APP, EPG, SMD, HARN, BCP, KK, CRD, HL, NCL / 25 ส.ค. – SHR, OR, TPIPP, THANA, CV, IRPC, FORTH, LALIN, S, PYLON, TQM, PROEN, PLANB, GULF

 

ประเด็นติดตาม: 24 ส.ค. - US Pending Home Sales / 25 ส.ค. – US GDP / 26 ส.ค. – Jackson Hole Symposium, Fed Chair Powell Speaks, US Core PCE Price Index / 30 ส.ค. – US JOLTs, US CB Consumer Confidence

(* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ ซึ่งอาจมีคำแนะนำต่างกับพื้นฐาน หรือที่ไม่ ได้อยู่ในการวิเคราะห์ของ UOBKH ซึ่งนักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาที่เข้าซื้อ)