CKP ผลประกอบการ 2Q65: ผลการดำเนินงานดีขึ้นจากปัจจัยฤดูกาล

CKP ผลประกอบการ 2Q65: ผลการดำเนินงานดีขึ้นจากปัจจัยฤดูกาล

กำไรสุทธิของ CKP ใน 2Q65 อยู่ที่ 864 ล้านบาท (+2,131% QoQ / +22% YoY) ดีกว่าประมาณการของเรา 13% และดีกว่าตลาด 8% เนื่องจากผลการดำเนินงานของโครงการไซยะบุรีแข็งแกร่งเกินคาด

แต่หากไม่รวมกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 15 ลบ. กำไรจากธุรกิจหลักจะอยู่ที่ 846 ล้านบาท (+2,137% QoQ,+21% YoY) จากผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งขึ้นของโรงไฟฟ้าพลังน้ำ ทั้งนี้ กำไรจากธุรกิจหลักในงวด 1H65 จะอยู่ที่ 887 ล้านบาท (+10% YoY) คิดเป็น 38% ของประมาณการกำไรปี 2565F ของเรา

 

ประเด็นที่น่าสนใจจากผลการดำเนินงานใน 2Q65 – โรงไฟฟ้าพลังนํ้าได้อานิสงส์จากปัจจัยฤดูกาล

รายได้จากธุรกิจหลักเพิ่มขึ้น 5% QoQ เนื่องจากปริมาณยอดขายไฟฟ้าของ NN2 สูงตามฤดูกาลที่ 391GWh (+18% QoQ, -23% YoY) และยอดขายไฟฟ้าของโครงการ BIC สูงขึ้น โดยกำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นถึง 45% QoQ จาก GPM ที่เพิ่มขึ้นเป็น 16.4% (จาก 11.8% ใน 1Q65 และจาก 27.7% ใน 2Q64) เพราะ margin ของ NN2 และ BIC เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม GPM ที่ลดลง YoY เป็นเพราะราคาก๊าซแพงในขณะที่การขึ้นค่า Ft ยังมีช่วงเหลื่อมเวลา เราคาดว่าส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทในเครือจะเพิ่มขึ้นเป็น 772 ล้านบาท จากที่มีส่วนแบ่งผลขาดทุน 3 ล้านบาทใน 1Q65 เพราะได้แรงหนุนจากปริมาณยอดขายไฟฟ้าของไซยะบุรีที่เพิ่มขึ้นเป็น 2,209GWh (+57% QoQ, +8% YoY) เพราะผลกระทบจากภาวะ La Niña ที่รุนแรงมากขึ้น YoY ในปี 2565 และการเข้าถือหุ้นในไซยะบุรีเพิ่มขึ้นเป็น 42.5% (ตั้งแต่ 29 มิ.ย. 64)

 

 

 

 

แนวโน้มใน 2H65 – กำไรจะถึงจุดสูงสุดใน 3Q65F ก่อนจะลดลงอย่างมากใน 4Q65F

CKP จะจัดประชุมนักวิเคราะห์งวด 2Q65 ในวันที่ 17 สิงหาคม 2565 ซึ่งผู้บริหารอาจจะอัพเดตข้อมูลเพิ่มเติมของโครงการหลวงพระบาง (613MWe), โครงการอื่น ๆ ที่อาจจะเข้าไปลงทุน, และการบริหารจัดการต้นทุนในภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น เราคิดว่าช่วง peak ตามฤดูกาลของโรงไฟฟ้าพลังน้ำจะหนุนให้กำไรใน 3Q65F ขึ้นไปถึงจุดสูงสุดในรอบปี นำโดย NN2 และไซยะบุรี ในขณะที่คาดว่ากำไรจะลดลงอย่างมาก QoQ ใน 4Q65F เนื่องจากเป็นช่วง low season

 

Valuation & Action

เรายังคำแนะนำถือ และขยับไปใช้ราคาเป้าหมาย DCF สิ้นปี 2566 ที่ 5.80 บาท จากเดิม 6.35 บาท โดยเรายังคงประมาณการกำไรเอาไว้ เรายังไม่เห็นแนวโน้มที่น่าตื่นเต้นในอีกสามปีหข้าหน้า เพราะจะไม่มีกำลังการผลิตใหม่เพิ่มเข้ามาเลย ในขณะที่นักลงทุนส่วนใหญ่น่าจะคาดหวังว่าผลประกอบการจะออกมาดีใน 3Q65 อยู่แล้ว ดังนั้น ถึงแม้ว่าราคาหุ้นจะปรับลง แต่เรายังมองว่าไม่ถึงจุดที่จะเข้าซื้อ เราแนะนำให้นักลงทุนรอซื้อในช่วงไตรมาสที่สี่ถึงไตรมาสที่หนึ่ง ซึ่งปกติแล้วจะเป็นช่วงที่ราคาหุ้นลงไปต่ำสุดดีกว่า

 

Risks

มีการปิดโรงไฟฟ้านอกแผน, ปัญหา cost overruns, ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนและอัตราดอกเบี้ย