ชานมทุนจีนเข้าไทยดุเดือด แต่ ‘GAGA’ ยังโตพุ่งทุกปี จากนี้อีก 3 ปี จะมี 400 สาขาทั่วโลก

ชานมทุนจีนเข้าไทยดุเดือด แต่ ‘GAGA’ ยังโตพุ่งทุกปี จากนี้อีก 3 ปี จะมี 400 สาขาทั่วโลก

“GAGA” เปิดมาแล้ว 7 ปี หลังจากนี้ขอติดสปีดทั่วโลก 400 สาขา “ไมเนอร์ฟู้ด” ดันร้านชานมขึ้นแท่น “Unicorn Brand” แม้ทุนจีนตีตลาดไทยดุเดือด แต่ “GAGA” โต Double-Digits เพิ่มเมนูชาใส-ปรับหน้าร้านใหม่-เปลี่ยนแพ็กเกจจิ้ง พฤติกรรมผู้บริโภคท้าทายแต่ยังไปต่อได้

ใครก็รู้ว่า ตลาดชานมบ้านเราดุเดือดแค่ไหน มีทั้งบิ๊กแบรนด์ระดับประเทศ แบรนด์ Local ที่เติบโตมาเป็นผู้เล่นแถวหน้า รวมถึงระยะหลังก็มีแบรนด์จากต่างประเทศเข้ามานับสิบราย เวลาผ่านไปมีทั้งคนที่ยืนระยะจนชิงส่วนแบ่งตลาดได้สำเร็จ บางรายก็ต้องเก็บกระเป๋าถอยทัพออกไปเงียบๆ ท่ามกลางภาพการแข่งขันที่ว่ามา “GAGA” อยู่ในกลุ่มก้อนแรกๆ เติบโตและก่อตั้งจากผู้ประกอบการ Local จนเมื่อเข้าสู่ปีที่ 4 จึงมี “ไมเนอร์ฟู้ด” เข้ามาเป็นพาร์ทเนอร์ ถือหุ้นด้วยสัดส่วน 70% ทำให้การขยายสาขาทั้งในและต่างประเทศหลังจากนั้นเติบโตอย่างรวดเร็ว

มาถึงวันนี้ “GAGA” มีอายุครบ 7 ปีแล้ว “อนุพนธ์ นิธิยานันท์” ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) บอกว่า หลังจากนี้จะเป็นการประกาศศักดาว่า “GAGA” พร้อมก้าวสู่แชปเตอร์ใหม่ จากแบรนด์ชานมในไทย สู่  “International Brand” ปัจจุบัน “GAGA” มีสาขาในไทยรวม 80 แห่ง และสาขาในอินโดนีเซียอีก 30 แห่ง โดยที่อินโดนีเซียเป็นสาขาที่ไมเนอร์ฟู้ดลงทุนเอง รวมถึงตอนนี้ยังมีแฟรนไชส์ซีที่เวียงจันทร์ ประเทศลาว อีก 1 แห่งด้วย 

ในวาระที่แบรนด์กำลังเดินทางเข้าสู่ปีที่ 8 “ไมเนอร์ฟู้ด” จึงถือโอกาสยกเครื่องปรับโฉมใหม่ ไล่มาตั้งแต่ดีไซน์หน้าร้าน จากเดิมที่เน้นความสนุกด้วยเฉดดำแดงและขาวแดง เปลี่ยนไปใช้วัสดุที่เล่นแสงและความโปร่งใสมากขึ้น พร้อมกับอุปกรณ์ชงชารูปแบบใหม่ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของรสชาติที่ได้มาตรฐานพร้อมกับความเร็วในการให้บริการ “อนุพนธ์” ระบุว่า อุปกรณ์เครื่องชงชาแบบใหม่จะช่วยให้พนักงานทำงานได้ง่ายขึ้น มีคุณภาพมากขึ้น ตอบโจทย์แฟรนไชส์ทั้งในและต่างประเทศ 

ชานมทุนจีนเข้าไทยดุเดือด แต่ ‘GAGA’ ยังโตพุ่งทุกปี จากนี้อีก 3 ปี จะมี 400 สาขาทั่วโลก -Mochi Taro หนึ่งในเมนูฮิตติดกระแสของ GAGA-

ด้านแพ็กเกจจิ้งก็ปรับใหม่ มีแบรนดิ้งเข้ามาเสริม รวมถึงการทำ “Merchandise” หรือโปรดักต์ภายใต้แบรนด์ “GAGA” เพิ่มความเป็นไลฟ์สไตล์ เข้าใกล้ผู้บริโภค สำคัญที่สุด คือไลน์โปรดักต์ “ชาใส” ที่ริเริ่มจากการมองเห็นพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป จากความนิยมในกลุ่มชานม ระยะหลังลูกค้ามองหาสิ่งใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มที่ให้ความสำคัญกับสุขภาพ

“เมฆิญาร์ รติมาศ” Marketing Director จาก “GAGA” ขยายความให้ฟังว่า การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดถูกคิดขึ้นภายใต้คอนเซปต์ “The Modern Tea Atelier” ผสมผสานระหว่างความพิถีพิถันในการชงชาและเทคโนโลยีสมัยใหม่ แบรนด์ยังคงคาแรกเตอร์ความสนุก แต่เป็น “GAGA” ในเวอร์ชันที่โตขึ้น หนึ่งในไฮไลต์ คือการเปิดตัวชาพรีเมียมชงสด ตั้งใจยกระดับแบรนด์จากผู้นำตลาดชานมเป็นผู้นำตลาดชาพรีเมียม จากเทรนด์การเติบโตของมัทฉะตลอดปีที่ผ่านมา สะท้อนว่า ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับชาชงสดแก้วต่อแก้วและคุณภาพของใบชา 

อีกกลุ่ม คือกลุ่มที่ใส่ใจเรื่องสุขภาพ ต้องการเครื่องดื่มน้ำตาลน้อย ไม่มีน้ำตาล หรือเครื่องดื่ม 0 แคลอรี่ โดยกลุ่มไลน์ชาพรีเมียมชงสดที่เพิ่มเข้ามามีทั้งชาใสและชานมลาเต้ ราคาเริ่มต้น 65 บาท ไปจนถึง 110 บาท จับกลุ่ม “Valued for Money” ต้องการความคุ้มค่าและได้วัตถุดิบที่ดีด้วย

ชานมทุนจีนเข้าไทยดุเดือด แต่ ‘GAGA’ ยังโตพุ่งทุกปี จากนี้อีก 3 ปี จะมี 400 สาขาทั่วโลก -อนุพนธ์ นิธิยานันท์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด-

“มองกลับไป 4-5 ปีที่แล้วในตลาดชา อาจจะนึกถึงแค่ชานมไข่มุก ไม่มีอะไรซับซ้อน แต่ตอนนี้ด้วยพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป มองหาอะไรที่เข้าถึงคาแรกเตอร์มากขึ้น ชาใส ชาผลไม้ มีบทบาทมากขึ้น แต่ความเป็น GAGA เรายังคงคาแรกเตอร์แบรนด์มาตั้งแต่วันแรก พูดถึง GAGA ต้องอิ่มได้ด้วยวัตถุดิบที่ดี สิ่งนี้เป็นอัตลักษณ์ที่เราแตกต่างจากแบรนด์อื่นๆ มีชาพรีเมียมก็จริงแต่ยังไม่สูญเสียความสนุก รวมถึงเมนู Seasonal ต่างๆ ที่เราจับเทรนด์เพื่อทำให้ตลาดคึกคักมากขึ้น เช่น โมจิทาโร่ “GAGA” เป็นแบรนด์แรกที่นำเทรนด์นี้เข้ามาก่อน”

“GAGA” ในเวอร์ชันใหม่เริ่มปักธงสาขาเซ็นทรัลลาดพร้าวเป็นที่แรก เหตุผลที่เลือกสาขานี้เนื่องจากเป็นหนึ่งในสาขาขายดี รวมถึงมีกลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย “อนุพนธ์” บอกว่า เป้าหมายหลังจากนี้ คือการยกระดับ “GAGA” ในฐานะ “Unicorn Brand” ของเครือไมเนอร์ฟู้ดกรุ๊ป “GAGA” จะเป็นผู้เล่นคนสำคัญสำหรับการขยายไปต่างประเทศ นอกจากทยอยเปิดตามจังหวัดหัวเมืองใหญ่ในไทยให้ครบทุกแห่ง ปี 2569 “GAGA” มีแผนเจาะตลาดอีกหลายประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มประเทศแถบอาเซียน และประเทศตะวันออกกลาง

เป้าหมายระยะไกล ผู้บริหารระบุว่า อีก 3 ปี หรือภายในปี 2571 “GAGA” ต้องมี 400 สาขาทั่วโลก เฉพาะในไทยปีหน้าต้องเปิดให้ครบ 100 สาขา ส่วนในอินโดนีเซียระบุว่า เป็นประเทศที่มีพฤติกรรมผู้บริโภคใกล้เคียงกับไทย ทางไมเนอร์ฟู้ดจึงเป็นผู้ลงทุนเอง ประเทศอื่นๆ อาทิ จีน สิงคโปร์ ออสเตรเลีย ก็มีศักยภาพในการขยายเช่นกัน เนื่องจากไมเนอร์ฟู้ดมีพาร์ทเนอร์ที่แข็งแรงในประเทศเหล่านี้ คาดว่า สัดส่วนในการเปิดที่ต่างประเทศจะมีมากกว่าในประเทศ

ชานมทุนจีนเข้าไทยดุเดือด แต่ ‘GAGA’ ยังโตพุ่งทุกปี จากนี้อีก 3 ปี จะมี 400 สาขาทั่วโลก

อย่างไรก็ตาม เมนูขายดีตลอดกาลของแบรนด์จนถึงขณะนี้ คงหนีไม่พ้น “GAGA Overload” ชานมพร้อมท็อปปิ้ง 4 อย่าง ตามมาด้วยชาผลไม้ และมัทฉะเกรดพิธีการ ที่ผ่านมา “GAGA” มีปรับตัวไปตามความต้องการของผู้บริโภคอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ลืมที่จะคงไว้ซึ่งอัตลักษณ์และตัวตนของแบรนด์ “อนุพนธ์” บอกว่า แม้ที่ผ่านมาการแข่งขันในตลาดชาจะดุเดือด แต่ “GAGA” ยังเป็นแบรนด์ที่เติบโตแบบ Double-Digits ทุกปี 

ขณะที่คอนเซปต์ใหม่ที่ประเดิมสาขาเซ็นทรัลลาดพร้าวเป็นแห่งแรก พบว่า ทำให้ยอดขายรวมเติบโตขึ้นกว่า 50% เมื่อเทียบกับช่วงเวลา 7 วันแรกของการเปิดร้านเมื่อ 7 ปีที่แล้ว รวมทุกออเดอร์ทั้งสั่งซื้อหน้าร้านและเดลิเวอรี่ผ่านแอปพลิเคชัน แม้มีความท้าทายในเรื่องความกังวลด้านสุขภาพ คู่แข่งที่เยอะขึ้น การเทรนนิ่งพนักงานให้ทันกับการขยายสาขา แต่จากการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้ก็ทำให้เชื่อว่า “GAGA” จะยังเป็นผู้ชนะในตลาดได้อย่างแข็งแกร่ง