แก้ปัญหา ‘ขยะ’ ล้นเมือง รื้อกฎหมายโรงไฟฟ้า-ลดขยะอาหาร

“ทีพีไอ โพลีนเพาเวอร์” ชี้ กฎหมาย และกระบวนการอนุมัติล่าช้า อุปสรรคสำคัญในการเปลี่ยนขยะเป็นพลังงาน แนะภาครัฐเร่งปรับปรุง รับมือสถานการณ์ฉุกเฉิน และสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ “ซีพี แอ็กซ์ตร้า” ดึงผู้บริโภคร่วมลดขยะอาหาร ด้าน “เดอะมอลล์” จูงใจรีไซเคิล สร้างเศรษฐกิจหมุนเวียน
นายภัคพล เลี่ยวไพรัตน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทีพีไอ โพลีนเพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) กล่าวในหัวข้อ Panel Discussion: Waste Management: A Call to Care for a Cleaner Society ในงาน “SUSTAINABILITY FORUM 2026 Shift Forward: Overcoming Challenges” จัดโดย กรุงเทพธุรกิจ ว่า ปัจจุบันโรงไฟฟ้าขยะถือว่าเป็นทางเลือกที่ทั่วโลกใช้เพราะมีประสิทธิภาพสูงมากกว่าการฝังกลบ
แต่กฎหมายของไทยยังมีข้อจำกัดที่ติดขัด โดยเฉพาะระเบียบขององค์การปกครองส่วนท้องถิ่น หรือเทศบาลบางแห่งที่กำหนดให้ต้องใช้วิธีฝังกลบเท่านั้น หรือกำหนดคุณสมบัติผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการต้องมีประสบการณ์ในการรับขยะจากภาครัฐไปกำจัดเท่านั้น จึงอยากให้ปรับเปลี่ยนระเบียบที่ออกมาเมื่อ 20 ปีที่แล้ว
“เราเข้าใจดีว่าเทศบาลต้องการผู้ที่มีประสบการณ์ แต่กฎระเบียบเหล่านี้มักจะอ้างอิงแนวทางเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ซึ่งในสมัยนั้นมีเพียงการฝังกลบเท่านั้น ทำให้ไม่รองรับวิธีการกำจัดสมัยใหม่” นายภัคพล กล่าว
นอกจากนี้บ่อขยะยังสูญเสียโอกาสทางเศรษฐกิจ เพราะพื้นที่ดังกล่าวสามารถนำไปใช้สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้สูงกว่า เช่น สร้างโรงพยาบาล สถานีตำรวจ โรงเรียน สวนสาธารณะ หรือห้างสรรพสินค้า
“คงไม่มีใครอยากสร้างบ้าน อพาร์ตเมนต์ หรือห้างสรรพสินค้าอยู่ข้างๆ บ่อขยะ การมีบ่อขยะไม่ใช่แค่การสูญเสียมูลค่าทางเศรษฐกิจแต่ยังสร้างมลภาวะทางกลิ่น สายตา และสิ่งแวดล้อมด้วย”
นายภัคพล กล่าวว่า ยังมีปัญหาที่สองที่สำคัญคือ ความล่าช้าในขั้นตอนการขออนุญาตตั้งโรงไฟฟ้า ปัจจุบันมีหลายหน่วยงานที่พิจารณาเป็นลำดับขั้น ตั้งแต่ขั้นที่ 1 ถึงขั้นที่ 5 ทั้งนี้ในอดีตสามารถสร้างควบคู่ไปกับการศึกษาผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม (EIA) ได้ โดยใช้เวลาพอๆ กัน ทำให้เมื่อสร้างโรงงานเสร็จ EIA ก็เสร็จพอดี และสามารถเปิดโรงงานได้ทันที
แต่ปัจจุบันต้องผ่านการอนุมัติทางสิ่งแวดล้อมก่อน จึงจะเริ่มสร้างได้ การศึกษา EIA ใช้เวลาประมาณ 1-1 ปีครึ่ง ผู้ประกอบการต้องนั่งรอเฉยๆ ทำให้เสียเวลาขณะที่ขยะยังคงถูกผลิตออกมาในปริมาณมหาศาลมากถึงประมาณ 70,000 ตัน/วัน ทั่วประเทศ
ขยะอาหารกระทบสิ่งแวดล้อม-เศรษฐกิจ
นางศิริพร เดชสิงห์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานความยั่งยืนและสื่อสารองค์กร บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า "ขยะอาหาร" (Food Waste) เป็นเรื่องใหญ่ของประเทศ และระดับโลก โดยโลกมีขยะระดับพันล้านตัน/ปี ที่น่าตกใจคือ 1 ใน 3 เป็นปริมาณขยะอาหาร และที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือ ครึ่งหนึ่งของประชากรโลกประสบปัญหาอดอยาก หิวโหย เกิดความไม่สมดุล
ขยะอาหารยังสร้างก๊าซเรือนกระจก และเกิดปัญหาเศรษฐกิจด้วย เพราะการกำจัดต้องใช้งบประมาณ โดยทางกรุงเทพมหานคร (กทม.) เผยแพร่ข้อมูลว่าต้องใช้งบประมาณ 7,000 ล้านบาท/ปี ขณะที่งบประมาณด้านสาธารณสุข และการศึกษารวมกันอยู่ที่ 7,000 ล้านบาท
“ขยะกระทบทั้งสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และสังคม เรายังเห็นคนที่อดอยาก ยังเห็นปัญหาความมั่นคงทางอาหาร ถือเป็นเรื่องใหญ่ จึงให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก การทำเรื่องความยั่งยืนสอดคล้องกับธุรกิจของซีพีแอ็กซ์ตร้า ซึ่งมีแม็คโคร และโลตัส รวมกว่า 2,600 สาขาทั่วประเทศ และยังมีใน 10 ประเทศทั่วเอเชีย ธุรกิจหลักของเรา คือ การขายอาหาร อิมแพ็คที่เราทำเรื่องการจัดการขยะจึงสูงตามมา”
นวัตกรรมบรรจุภัณฑ์เชื่อมผู้ผลิต
ทั้งนี้ซีพีแอ็กซ์ตร้าอยู่ตรงกลางระหว่างผู้ผลิตและผู้บริโภค เชื่อมโยงกับผู้ผลิตทั้งเกษตรกร เอสเอ็มอี รวมประมาณ 50,000 ราย อีกฝั่งคือผู้บริโภค 40-50 ล้านคน ที่เดินเข้าแม็คโครกับโลตัสทุกวัน จึงเป็นที่มาของการนำนวัตกรรมมาเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์ให้เป็นถุงหายใจได้ เพราะผัก ผลไม้ หากใช้บรรจุภัณฑ์ที่ไม่เอื้อต่อการคายน้ำ จะทำให้เน่าเสียเร็ว
นอกจากนี้ยังทำสกินแพ็กให้เนื้อสัตว์อยู่ได้นานขึ้นจาก 7 วันเป็น 21 วัน โดยเฉพาะเนื้อสัตว์นำเข้าซึ่งมีมูลค่าสูง ส่วนผลไม้จากเดิมขายเป็นหลักกิโลกรัม ก็ได้ปรับให้อยู่ในบรรจุภัณฑ์สำเร็จรูปมากขึ้น
“โจทย์สำคัญของการบริหารจัดการขยะอาหาร ต้องสื่อสารถึงผู้บริโภคด้วย โดยออกมาตรการจูงใจ ว่าเป็นเรื่องที่สร้างประโยชน์แก่ผู้บริโภค กระตุ้นให้เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม"
เริ่มตั้งแต่ลดการสร้างขยะอาหาร จูงใจให้คนซื้ออาหารป้ายเหลือง ว่ายังเป็นของคุณภาพดี มีเชลฟ์ไลฟ์อีก 2-3 วัน และยังได้ส่วนลดถึง 50-60% ขณะเดียวกันซัพพลายเออร์ต้องร่วมมือตั้งแต่ต้นทาง รวมถึงลดระยะเวลาการขนส่งด้วย
เดอะมอลล์ปั้นห้างฯ สร้างเศรษฐกิจหมุนเวียน
นางสาววรลักษณ์ ตุลาภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มการตลาด บริษัท เดอะ มอลล์ กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า เดอะมอลล์ วางแนวทางบริหารจัดการ และสร้างพฤติกรรมด้านความยั่งยืนใหม่ๆ ด้วย “เศรษฐกิจหมุนเวียน” (Circular Economy) เพราะศูนย์การค้ามีทราฟฟิกคนเดินห้างมากนับล้านๆ คน/เดือน บางสาขามากถึง 25 ล้านคน/ปี มีการจัดกิจกรรมการตลาดหลายรูปแบบ จึงเป็นพื้นที่ที่สามารถสื่อสารแนวคิดเหล่านี้ถึงลูกค้าได้โดยตรง
ตัวอย่างเช่น แคมเปญ “MONCHHICHI x THE MALL GROUP THE GREAT NEW YEAR 2026” ซึ่งเป็นการผนึกความร่วมมือกับบริษัท เซกิกูชิ (Sekiguchi) ผู้สร้างสรรค์คาแรกเตอร์ “มอนชิชิ” (Monchhichi) มีการนำไปตกแต่งจำนวนมากในศูนย์การค้าช่วงเทศกาลปลายปี ทางเดอะมอลล์ กรุ๊ป จึงบริหารจัดการตั้งแต่เรื่องไลเซนส์ เพื่อขออนุญาตนำของตกแต่ง “มอนชิชิ” ไปบริจาคให้เด็กๆ ภายใต้การทำงานร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) หรือแม้แต่ถุงชอปปิง ทางทีมออกแบบสร้างสรรค์ภายใต้โจทย์ว่าจะออกแบบอย่างไรให้มีคุณค่า ลูกค้าเก็บถุงไว้แล้วนำไปใช้ซ้ำ
ขณะที่บางโครงการมีการนำผลิตภัณฑ์ที่ไม่ใช้แล้ว มารวบเป็นของตกแต่งต่างๆ หรือออกแบบบูธด้วยผลิตภัณฑ์รีไซเคิลทั้งหมด เมื่อลูกค้าเห็น ก็สามารถนำแนวคิดไปต่อยอดได้
นอกจากนี้ เดอะมอลล์ กรุ๊ป เคยร่วมกับ วันเดอร์ฟรุ๊ต (Wonderfruit) เทศกาลศิลปะ ดนตรี และวัฒนธรรมสัญชาติไทย ช่วยรวบรวมของที่ไม่ใช้แล้ว และมีคนเดินห้างช่วยนำมาส่งต่อ เพื่อนำไปสร้างสรรค์เป็นสิ่งใหม่บนเวทีงานเทศกาลนี้ในปีถัดไป
ส่วนการบริหารจัดการขยะอาหาร เคยทำโครงการร่วมกับโค้ก ให้ลูกค้านำขวดพลาสติกมาคืนที่เครื่องรับเพื่อแลกกับเครื่องดื่มโค้ก โดยช่วงแรกที่ทำพบว่า 10 วันแรกมีคนนำมาคืน 100,000 ขวด
ขณะเดียวกันเปิดพื้นที่ให้กับแบรนด์ที่มีแนวคิดด้านความยั่งยืน ลดขยะ เช่น Pipatchara ที่นำขยะพลาสติกมารีไซเคิลมาออกแบบเป็นเครื่องแต่งกาย และกระเป๋า มาให้แรงบันดาลใจแก่ผู้บริโภค เล่าเรื่องตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ ว่าสินค้าของแบรนด์นี้ให้ความหมายต่อสังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างไร
“ศูนย์การค้าจึงเป็นสถานที่ที่ช่วยให้พฤติกรรมผู้บริโภคเร่งเปลี่ยนพฤติกรรมได้เร็วขึ้น ผ่านการมอบอินเซนทีฟในหลากหลายรูปแบบ”
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







