คุยกับ 3 แม่ทัพ ‘มินิโซ’ เคลื่อนค้าปลีกสินค้าไลฟ์สไตล์จีนขึ้นเบอร์ 1 ในไทย

3 แม่ทัพ "มินิโซ" เผยค้าปลีกไทยแข่งเดือด แต่ "จีน" โหดกว่ามาก บริษัทผ่านบททดสอบแล้ว จึงต่อจิ๊กซอว์บุกตลาดโลก และ "ไทย" ประเทศเชิงยุทธศาสตร์โต
“มินิโซ”(MINISO) ร้านค้าปลีกสินค้าไลฟ์สไตล์จากแดนมังกร ที่สร้างธุรกิจเติบโตอย่างรวดเร็วในระยะเวลากว่า 1 ทศวรรษ หรือครบขวบ 12 ปีเท่านั้น
ทว่า ปัจจุบันสามารถผงาดในเวทีธุรกิจโลก ด้วยการเปิดร้านครอบคลุมกว่า 120 ประเทศทั่วโลก กับจำนวนกว่า 7,600 สาขา และในปี 2567 สร้างรายได้ 2,330 ล้านดอลลาร์ เติบโต 22.8% และมีกำไรขั้นต้น(Gross Profit)สูงสุดเป็นประวัติการณ์ 44.9% โดยรายได้ต่างประเทศมีบทบาทสำคัญ สัดส่วนเพิ่มเป็น 56.7%
เมื่อเร็วๆนี้ “มินิโซ” ในประเทศไทย ได้เปิดตัวโมเดลใหม่ “มินิโซ แลนด์”(MINISO LAND) สาขาแรกอย่างเป็นทางการ ยึดพื้นที่ใจกลางสยามสแควร์ เสิร์ฟสินค้าไลฟ์สไตล์ สินค้าลิขสิทธิ์ทรัพย์สินทางปัญญา(IP:ntellectual Property) กว่า 8,300 รายการ บนพื้นที่กว่า 1,000 ตารางเมตร(ตร.ม.) เพื่อมอบประสบการณ์ชอปปิงให้กับผู้บริโภคชาวไทยและต่างชาติ
การเปิด “มินิโซ แลนด์” จึงเป็นโอกาสดีที่ 3 แม่ทัพธุรกิจคนสำคัญทั้ง โรบิน หลิว รองประธานและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาดของมินิโซระดับโลก วินเซนต์ ฮวง รองประธานและผู้จัดการทั่วไปของมินิโซตลาดต่างประเทศ และจุน หวัง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มินิโซ ประเทศไทย ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน ถึงแผนการขับเคลื่อนธุรกิจในประเทศไทย ตลอดจนแบ่งปันมุมมองการแข่งขันธุรกิจค้าปลีก
งัดโมเดลใหม่ดึงขาช้อปใช้เวลาในสโตร์ให้นาน
โรบิน ฉายภาพว่า ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา “มินิโซ” มีการยกระดับร้านค้าปลีกและสื่อสารการตลาด ตลอดจนการพัฒนาสินค้า IP อย่างต่อเนื่อง เพื่อมอบประสบการณ์ชอปปิงให้ผู้บริโภคมีความสนุกสนาน เกิดการ Interaction กับลูกค้ากลุ่มเป้าหมายมากขึ้น
ในการยกระดับร้านคือการลุย “โมเดลใหม่” อย่าง “มินิโซ แลนด์” เป็นร้านขนาดใหญ่สุด จากที่มี “มิโนโซ แฟล็กชิป สโตร์” ขนาดพื้นที่ 500-600 ตร.ม.ขึ้นไป และมินิโซ สโตร์ ร้านขนาดเล็กสุด
ส่วนการพัฒนาสินค้า IP ปัจจุบัน “มิโนโซ” โฟกัสการสร้างสินค้า IP เป็นของตัวเองมากขึ้น มีการร่วมมือกับศิลปินในประเทศจีน ศิลปินระดับโลกเพื่อต่อยอดสู่สินค้าไลฟ์สไตล์ ซึ่งกลยุทธ์ดังกล่าวอยู่ในช่วงเริ่มต้น แต่ผลการตอบรับค่อนข้างดี
ตัวอย่างในจีนที่มินิโซร่วมกับศิลปินสร้างสรรค์สินค้า IP ของตัวเองออกมาสู่ตลาด ภายใน 1 เดือนกวาดยอดขาย 10 ล้านหยวน อนาคตยังสร้างสินค้าสิทธิบัตร Exsclusive เพียงรายเดียว เพื่อดึงดูดลูกค้าและสร้างความแตกต่างในตลาด
“การป้อนสินค้า IP ในร้านแต่ละโมเดลจะพิจารณาสัดส่วนให้ตรงตามความต้องการของลูกค้า เพื่อสร้างกำไรให้ธุรกิจ พร้อมสร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าทำ เพราะเป้าหมายเราไม่ใช่แค่ให้ลูกค้ามาซื้อสินค้า จ่ายเงิน แล้วออกไป แต่ทำให้ลูกค้าใช้เวลาในสโตร์นานขึ้น”
งบพัฒนาสินค้า IP ไม่จำกัด สานจิ๊กซอว์สร้าง “กำไร”
เมื่อสินค้า IP คือกลยุทธ์ที่มินิโซรุกมากขึ้น “โรบิน” บอกว่าอนาคตจะทำให้มีความครบวงจรมากขึ้น บริษัทมีการตั้งหน่วยพัฒนา IP ขึ้นมา เพื่อสานภารกิจต่อยอดความร่วมมือ ไม่อยู่แค่การ์ตูน คาแร็กเตอร์ดัง แต่ผนึกศิลปินที่ปัจจุบันเซ็นสัญญาไปแล้ว 9 ราย ร่วม KOLs โปรโมท อีกหนึ่งหมากรบคือการนำไป IP ตัวเองไปต่อยอดความร่วมมือ(Collabs)กับพันธมิตรสินค้าและแบรนด์อื่นๆ ซึ่งจีนร้านชานมไข่มุกต้องการร่วมงานอย่างมาก เป็นต้น
“สิ่งที่มินิโซโฟกัสไม่ใช่กำไร เพราะตอนนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นที่ต้องพัฒนาต่อ ซึ่งบริษัทมุ่งสร้างความพึงพอใจของผู้บริโภคต่อสินค้า IP ของมินิโซเป็นหลัก”
อย่างไรก็ตาม หากมองการพัฒนาสินค้า IP ตนเอง โจทย์สร้าง “กำไร” อยู่ในสมการธุรกิจ เพราะการพึ่งพา IP จากพันธมิตรมีต้นทุนที่สูง โดยเฉพาะแบรนด์ คาแร็กเตอร์ดังระดับโลก ยิ่งมีค่าใช้จ่ายไม่น้อย
ตัวอย่างสินค้า IP ของมินิโซที่พัฒนาสู่ตลาดแล้ว เช่น PenPen Penguin และ Gift Bear and Friends และ YOYO ทำยอดขายได้ดีทั้งออนไลน์และออฟไลน์ และเตรียมขยายสู่ตลาดต่างประเทศภายในปีหน้า ส่วนไทยมีน้องไก่ชนผสมผสานมวยไทยนาม DUNDUN Chicken ฯ โดยบริษัทมีงบประมาณในการพัฒนาสินค้า IP ตัวเองแบบ “ไม่มีเพดานจำกัด”
“หลังจากที่มินิโซมี IP ของตัวเองแล้ว สื่อมวลชนต่าง ๆ ก็มีการเปลี่ยนคำพูดเป็น..เจ้าพ่อ IP..ถือเป็นจุดแข็งของบริษัทฯ”
ค้าปลีกไทยเดือด! จีนโหดกว่า ‘มินิโซ’ ผ่านบททดสอบแล้ว
วินเซนต์ มองบริบทค้าปลีกในประเทศไทยเป็นสมรภูมิที่มีการแข่งขันสูง แต่หากมองทั้งโลก สังเวียนค้าปลีกที่แข่งเดือดสุด ต้องยกให้จีน ทั้งช่องทาง “ออฟไลน์-ออนไลน์-อีคอมเมิร์ซ” และการเติบโตสูงก็อยู่ในตลาดประเทศจีน ซึ่ง “มินิโซ” ได้ประสบการณ์ที่ดีในการแข่งขันและดำเนินธุรกิจ จนปัจจุบันทำให้สามารถขยายตัวไปเติบโตในต่างประเทศแล้ว
“หากมองค้าปลีกทั่วโลก ตลาดจีนแข่งขันเดือดสุด และมินิโซเราผ่านบททดสอบจีนมาแล้ว การที่เรามีนวัตกรรม มีสินค้า IP ร้านสร้างประสบการณ์ชอปปิงใหม่ๆ เช่น โมเดลมินิโซ แลนด์ ฯ น่าจะเป็นกลยุทธ์ที่ช่วยให้ประสบความสำเร็จได้”
ไทย ฐานทัพเชิงยุทธศาสตร์
ทั้งนี้ มินิโซ มีการรุกตลาดโลก ลุยกลยุทธ์ Globalization ตั้งแต่ปี 2558 ขยายตลาดมาอาเซียน ทั้งในไทย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฯ แม้จะไม่ระบุลำดับความสำคัญ แต่ยกไทยเป็นประเทศเชิงยุทธศาสตร์ในการขยายสาขา โดยเป้าหมายที่วางไว้จะเปิด 100 สาขาภายใน 3 ปียังไม่เปลี่ยน จากปัจจุบันมีร้าน 16 สาขา
ขณะที่การเปิดร้านมินิโซ แลนด์ โมเดลใหญ่สุด ซึ่งปัจจุบันทั่วโลกมี 15 แห่ง ในแง่ของธุรกิจนอกจากมอบประสบการณ์ชอปปิงได้เต็มขั้น โมเดลยังสร้างยอดขายมากกว่าร้านมินิโซ สโตร์ได้มาก 8-10 เท่าด้วย
“ไทยเป็นประเทศที่สำคัญที่จะพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เป็นตลาดเชิงกลยุทธ์ในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งเป้าหมายในไทยการมุ่งเปิดร้านมินิโซให้ได้ 100 สาขา ยังไม่เปลี่ยนแปลง ระยะสั้นเรามุ่งขยายสาขาในย่านใจกลางธุรกิจหรือ CBD อนาคตจะเปิดสาขาในต่างจังหวัดด้วย”
ซัพพลายเชนแกร่ง หนุนขึ้นผู้นำในไทย
จุน ให้มุมมองว่า ค้าปลีกในประเทศไทยมีการแข่งขันดุเดือด และ “มินิโซ” มองการแข่งขันเป็นสิ่งที่ดี เพราะจะทำให้ตลาดในประเทศไทยเติบโตมากขึ้น ทว่า วิธีการ “อยู่รอด” ในแต่ละประเทศ จะต้องผนึกกับ IP ระดับโลกเพื่อดึงดูดความสนใจจากนักช้อป ไม่ใช่เน้นแค่เปิดร้านมีจำนวนสาขามากๆ ทำให้บริษัทมีการยกระดับโมเดลร้าน มีการพัฒนาสินค้า IP อย่างต่อเนื่องภายใน 2-5 ปี เพื่อผลักดันสู่การเป็น “ผู้นำตลาด”
“ค้าปลีกไทยแข่งขันสูงมาก แต่ที่สูงสุดน่าจะยังเป็นที่ประเทศจีนทั้งออฟไลน์และออนไลน์ ซึ่งประสบการณ์จากจีน ทำให้มินิโซสู้ในสนามการแข่งขันระดับโลกได้ แต่จะเป็นผู้นำได้อย่างไร เป็นสิ่งที่ท้าทายมาก อย่างไรก็ตาม ในไทยเราคือผู้ริเริ่มรุกค้าปลีกรูปแบบนี้ ภายหลังมีคู่แข่งเข้ามาบางรายเน้นนำเสนออาร์ททอยเจาะลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย บางรายเน้นสินค้าคุ้มค่า ซึ่งแนวทางเคลื่อนธุรกิจของเราคือการลงทุนลงแรงเพื่อพัฒนาสินค้า IP ของตัวเอง ปิดช่องว่างตลาดตอบโจทย์คนไทย และการที่บริษัทมีตลาดกว่า 121 ประเทศทั่งโลก ทำให้มีห่วงโซ่การผลิตหรือ Supply Chain ที่สมบูรณ์แบบ เป็นจุดแข็ง คาดว่าจะส่งเสริมให้ตลาดประเทศไทยแข็งแรงมากขึ้น"







