ท่องเที่ยว 2 เดือนโค้งท้ายเร่งบูสต์ยอด 6.7 ล้านคน ‘แอตต้า’ ชี้แนวโน้มปี 68 ต่างชาติเข้าไทย 32 ล้านคน

ช่วง 2 เดือนโค้งสุดท้ายของปี 2568 ซึ่งเข้าสู่ “ไฮซีซัน” ของ “ภาคการท่องเที่ยว” ต้องแบกรับความคาดหวังในการดึง “นักท่องเที่ยวต่างชาติ” เข้าไทยให้ได้อย่างน้อย 6.71 ล้านคน เพื่อไปให้ถึงแนวโน้มทั้งปีนี้ ปิดที่จำนวน 33.4 ล้านคน ตามคาดการณ์ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ลดลง 6% เทียบกับปีที่แล้ว สร้างรายได้จากตลาดต่างประเทศ 1.51 ล้านล้านบาท ลดลง 5%
รายงานข่าวจาก “กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา” ระบุว่า สถิตินักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทยในช่วง “10 เดือนแรก” ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. - 31 ต.ค.2568 มีจำนวนสะสม 26,689,071 คน ลดลง 7.23% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว สร้างรายได้จากตลาดต่างประเทศ 1,232,968 ล้านบาท ลดลง 4.53%
สำหรับ 10 อันดับแรกของตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทยสูงสุดใน 10 เดือนแรก ได้แก่ 1.มาเลเซีย 3,856,816 คน 2.จีน 3,774,771 คน 3.อินเดีย 1,984,859 คน 4.รัสเซีย 1,418,101 คน 5.เกาหลีใต้ 1,274,415 คน 6.ญี่ปุ่น 877,574 คน 7.สหราชอาณาจักร 836,907 คน 8.สหรัฐ 830,539 คน 9.ไต้หวัน 822,519 คน และ 10.สิงคโปร์ 763,470 คน
เฉพาะเดือนต.ค. มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ 2,573,743 คน ลดลง 3.94% เทียบกับเดือนเดียวกันของปีที่แล้ว โดย 10 อันดับแรกของตลาดที่เดินทางเข้าไทยสูงสุด ได้แก่ 1.มาเลเซีย 378,143 คน 2.จีน 357,445 คน 3.อินเดีย 213,858 คน 4.รัสเซีย 145,764 คน 5.เกาหลีใต้ 136,382 คน 6.สหรัฐ 83,929 คน 7.ไต้หวัน 83,574 คน 8.สหราชอาณาจักร 78,947 คน 9.สิงคโปร์ 77,095 คน และ 10.เยอรมนี 76,709 คน
ธนพล ชีวรัตนพร นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) เปิดเผยว่า คาดการณ์แนวโน้มตลอดปี 2568 จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทย “32 ล้านคน” ต่ำกว่าเป้าหมายของรัฐบาล และน้อยกว่าสถิติเมื่อปี 2567 ซึ่งปิดที่จำนวน 35.54 ล้านคน โดย 5 อันดับแรกของตลาดที่คาดว่ามีการเดินทางเข้าไทยมากที่สุด ได้แก่ 1.จีน 4.6 ล้านคน 2.มาเลเซีย 4.5 ล้านคน 3.อินเดีย 2.2 ล้านคน 4.รัสเซีย 1.6 ล้านคน และ 5.เกาหลีใต้ 1.5 ล้านคน
เหตุปัจจัยที่ทำให้แอตต้าประเมินว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยสะสมทั้งปี 2568 ต่ำกว่าเป้าหมายของรัฐบาล เป็นเพราะกระแสการเดินทางของตลาดหลักอย่าง “นักท่องเที่ยวจีน” มาไทยประมาณ 10,000 คนต้นๆ ต่อวันเท่านั้น และมีบางวันลดลงต่ำกว่าหมื่นคน ยังถือว่าน้อยเมื่อเทียบกับช่วงปกติ
“การท่องเที่ยวของไทยในตอนนี้ถือว่าอยู่ในช่วงต่ำสุดแล้วหลังหมดยุคโควิดระบาด ขออย่าต่ำไปกว่านี้เลย และตามธรรมชาติจะต้องปรับตัวดีขึ้นในระยะถัดไป ซึ่งได้เห็นการทำงานของรัฐบาลที่มีความจริงจัง เป็นผลให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งขยับทำงาน เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาตามมาหรือถูกจับตามอง โดยภาคเอกชนคาดหวังว่าฟ้าหลังฝนต้องสดใสกว่านี้ หลังจากชินชากับสถานการณ์ภาพรวมนักท่องเที่ยวต่างชาติชะลอตัว ก็หวังว่าจะมีปัจจัยบวกรออยู่ข้างหน้า”
ธนพล ชีวรัตนพร
ภายในเดือนม.ค.2569 จะมีการจัดอีเวนต์ใหญ่แบบธุรกิจกับธุรกิจ (B2B) เพื่อกระตุ้นภาคการท่องเที่ยวเพิ่มเติม ด้วยการนำพันธมิตรผู้ประกอบการต่างประเทศเข้ามาเจรจาธุรกิจกับผู้ประกอบการไทย คาดมีผู้เข้าร่วมงานทั้งหมด 1,500 คน จัดทำแพ็กเกจท่องเที่ยวข้ามภาค กระจายการเดินทาง ไม่ให้กระจุกตัว ครอบคลุมทั้งตลาดต่างชาติเที่ยวไทย และตลาดไทยเที่ยวไทย นอกจากนี้ยังมีแนวคิดเกี่ยวกับโครงการกระตุ้นการท่องเที่ยวผ่านการจัดทำโปรโมชันตั๋วเครื่องบินราคาพิเศษ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทย และต่างชาติ โดยจะมีการหารือร่วมกับ ททท. อีกครั้งเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณสนับสนุน
“สำหรับปัญหาแก๊งสแกมเมอร์ในกัมพูชา ถือว่าส่งผลกระทบเชื่อมโยงมาถึงประเทศไทย เพราะภาพที่ทั่วโลกมองมานั้น ประเทศไทยมีชายแดนติดกับกัมพูชา น่าจะมีปัญหาสแกมเมอร์เหมือนกับที่กัมพูชา จึงอยากให้รัฐบาลเร่งปราบปรามขบวนการสแกมเมอร์ ซึ่งหลังจากแอตต้าได้หารือกับผู้ประกอบการเอเย่นต์ทัวร์ พบว่าประเด็นดังกล่าวได้ส่งผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยวแล้วจริงๆ” นายก แอตต้า กล่าว
ตลาดระยะใกล้จองเที่ยวไฮซีซัน "Last Minute"
เทียนประสิทธิ์ ไชยภัทรานันท์ นายกสมาคมโรงแรมไทย (ทีเอชเอ) กล่าวว่า ด้านแนวโน้มไฮซีซันในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปีนี้ คาด “อัตราการเข้าพัก” ไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ นักท่องเที่ยวต่างชาตินิยมเดินทางด้วยตัวเองเป็นหลัก ซึ่งตลาดนี้มักจองล่วงหน้าระยะสั้นมากๆ ยกเว้นกลุ่มตลาดระยะไกลบินเกิน 6 ชั่วโมงที่ต้องวางแผนเดินทางยาวกว่า มียอดจองห้องพักล่วงหน้าเข้ามา ทำให้โรงแรมที่รับลูกค้านักท่องเที่ยวยุโรป สหรัฐ เริ่มเห็นยอดจองล่วงหน้าแล้ว ต่างจากโรงแรมที่รับตลาดระยะใกล้ในเอเชีย และอาเซียน อาจยังไม่เห็นยอดจองเข้ามา เพราะนักท่องเที่ยวนิยมจองสั้นลง
สำหรับผลสํารวจ “ความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการที่พักแรม เดือนก.ย.2568” ดำเนินการสํารวจระหว่างวันที่ 12-29 ก.ย.68 มีผู้ตอบแบบสํารวจจํานวน 121 แห่ง พบว่าอัตราการเข้าพักเฉลี่ยเดือนก.ย. อยู่ที่ 54% ลดลงจากเดือนก่อนในทุกระดับดาว และทุกภูมิภาคตามจํานวนนักท่องเที่ยวไทย และนักท่องเที่ยวระยะใกล้ (short-haul) แต่ใกล้เคียงกับปีก่อน ขณะที่คาดการณ์อัตราการเข้าพักเดือนต.ค.อยู่ที่ 60%
นอกจากนี้ ธุรกิจโรงแรมส่วนใหญ่มากกว่าครึ่งหนึ่งในทุกระดับดาว คาดว่ารายได้ช่วงครึ่งหลังปี 2568 มีแนวโน้มลดลงอย่างน้อย 10% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเฉพาะโรงแรมในพื้นที่ภาคกลาง สะท้อนจากยอดจองห้องพักล่วงหน้าในช่วง Q4/68 ที่เข้ามาช้า และตํ่ากว่าคาด ส่งผลให้ความหวังที่จํานวนนักท่องเที่ยวจะฟื้นตัวมากขึ้นในไตรมาส 4 ปีนี้ ถูกเลื่อนออกไปใกล้ปลายปีมากขึ้น ด้านยอดจองห้องพักล่วงหน้าที่เข้ามาแล้ว ส่วนใหญ่มาจากกลุ่มลูกค้าระยะไกล (Long-haul) ในพื้นที่ท่องเที่ยวสำคัญ อาทิ โรงแรมระดับ 4 ดาวขึ้นไปในพื้นที่กระบี่ และสมุย ขณะที่อีกปัจจัยคือ การปรับราคาห้องพักเฉลี่ยต่อวันทําได้อย่างจํากัด ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการแข่งขันที่อยู่ในระดับสูง
เมื่อสอบถามผู้ประกอบการเรื่องคาดการณ์ “นักท่องเที่ยวไทย” ในครึ่งหลังปี 2568 มีแนวโน้มลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเฉพาะกลุ่มไมซ์ (MICE: การประชุม เดินทางเพื่อเป็นรางวัล สัมมนา และแสดงสินค้า) และกลุ่มเซลล์ของบริษัทต่างๆ ด้านจำนวนวันพัก ธุรกิจโรงแรมราว 2 ใน 3 ประเมินว่าโดยรวมใกล้เคียงกับปีก่อน แม้จะมีจำนวนวันพักปรับลดลงบ้างในโรงแรมระดับไม่เกิน 3 ดาว ในพื้นที่ภาคกลาง และภาคเหนือ
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







