‘มาคาเลียส’ ชี้เทรนด์ฮิต ‘Live Commerce’ ไม่จบแค่กดปุ่มซื้อ ปั้นยอดขายแทนยอดไลก์

‘มาคาเลียส’ ชี้เทรนด์ฮิต ‘Live Commerce’  ไม่จบแค่กดปุ่มซื้อ ปั้นยอดขายแทนยอดไลก์

“มาคาเลียส” (Makalius) แพลตฟอร์มแหล่งรวม อี-วอยเชอร์ที่พัก ร้านอาหาร และสถานที่ท่องเที่ยว เผยเทรนด์การตลาด “ไลฟ์ คอมเมิร์ซ” (Live Commerce) มาแรง! แต่ความสำเร็จของแบรนด์อาจไม่ได้จบแค่กดปุ่มซื้อ คุณภาพสินค้าและบริการหลังการขายคือเครื่องพิสูจน์ “ความเจ๋ง” สร้างความผูกพันธ์ระยะยาวแทนการซื้อแบบฉาบฉวย พร้อมชี้ยุค“Marketing 5.0” แบรนด์ต้องทำหน้าที่เป็นอินฟลูเอนเซอร์ (Influencer)ปั้นยอดขายแทนยอดไลก์

ณีรนุช ไตรจักร์วนิช ประธานกรรมการบริหาร บริษัท มาคาเลียส ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า มาคาเลียสได้นำแนวคิด “Live Commerce” มาปรับใช้ในการดำเนินธุรกิจมากว่า 2 ปี เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์และลดช่องว่างทางการสื่อสาร โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาได้เห็นความต้องการของผู้บริโภคที่หลากหลาย จึงได้ปรับแนวทางการนำเสนอและรูปแบบผลิตภัณฑ์ได้ตรงกับความต้องการ

ดังนั้นความสำเร็จของวิธีการจำหน่ายสินค้าผ่านการไลฟ์ จึงอาจไม่ใช่เรื่องของยอดการกดสั่งซื้อสินค้าเพียง แต่คุณภาพสินค้าและบริการเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะผู้บริโภคในยุค Marketing 5.0 นั้น สามารถเข้าถึงข้อมูลได้หลากหลาย เปรียบเทียบคุณภาพสินค้าได้อย่างง่ายดาย ซึ่งสิ่งที่ผู้บริโภคในยุคนี้ต้องการคือ การสื่อสารที่จริงใจและสร้างความสัมพันธ์ทางอารมณ์กับแบรนด์พวกเขาไม่เพียงแค่ซื้อสินค้าแต่ยังติดตามแบรนด์ผ่านช่องทางต่างๆและพร้อมจะบอกต่อหากพึงพอใจ (Advocate)

มาคาเลียสใช้กลยุทธ์ Live Commerce มาเป็นเครื่องมือสำคัญในการเชื่อมต่อผู้บริโภคกับธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยว โดยมองว่าสิ่งที่ขายไม่ใช่แค่สินค้า แต่คือบริการและความรู้สึก ซึ่งแตกต่างจากสินค้าทั่วไป การขายวอยเชอร์จึงต้องมีรายละเอียดครบถ้วน ตั้งแต่การแจ้งเงื่อนไข โปรโมชัน ไปจนถึงการบริการหลังการขาย เพราะเวลาลูกค้าซื้อวอยเชอร์ผ่านมาคาเลียส เขาไม่ได้ซื้อเพราะถูกที่สุด แต่เขาซื้อเพราะเชื่อใจว่าเราจะดูแลเขาได้จริง และเมื่อเขาไปถึงโรงแรม เขาคือแขกของโรงแรมอย่างเต็มตัว ไม่ใช่แค่ลูกค้าของนายหน้า

ณีรนุช เล่าต่อว่าจากประสบการณ์ในการนำกลยุทธ์ Live Commerce มาปรับใช้ในธุรกิจ สิ่งสำคัญจะประกอบไปด้วย 4 หลักด้วยกัน ได้แก่ 1.ศึกษาให้มีความเชี่ยวชาญ ในกรณีที่เราเป็น “ตัวกลาง” ที่จะขายของให้แบรนด์ใดแบรนด์หนึ่ง ต้องพิจารณาศักยภาพของเราว่าเหมาะสมหรือไม่ ต้องทำการบ้านกับสินค้าที่จะนำมาขาย เพราะเราถือเป็นนายหน้าหรือผู้แทน ต้องแบกรับความเสี่ยงทั้งหมด ต่อมา

2.ระบบหลังบ้านต้องพร้อม ถ้ามีการสั่งซื้อต้องเตรียมระบบหลังบ้านให้พร้อม เช่น ถ้าเราเป็นตัวแทนขายห้องให้กับโรงแรม ต้องตรวจสอบว่า โรงแรมนั้นมีจำนวนห้องพอกับสิ่งที่จะขาย พนักงานมีความพร้อมในการดูแลลูกค้า ระบบการจองมีประสิทธิภาพ สะดวก รวดเร็ว เป็นต้น เพราะทั้งหมดคือประสบการณ์แรกที่ลูกค้าจะต้องเจอ และถ้าประสบการณ์แรกไม่ดี ทุกอย่างก็จบ!

3.ความชัดเจน ข้อมูล รายละเอียดต่างๆ ของสินค้าและบริการต้องพูดชัดเจน ถูกต้อง และมีเอกสารที่ยืนยันได้ และสุดท้าย 4.สินค้าและบริการ เป็นเรื่องที่สำคัญมาก โดยสินค้าและบริการนั้นๆ ต้องมีคุณภาพตรงตามสรรพคุณที่นำเสนอ

การตลาดในยุคที่ผ่านมา หลายผลิตภัณฑ์นิยมสร้างแบรนด์โดยใช้อินฟลูเอนเซอร์ เพื่อสร้างการรับรู้ ทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น แต่ในยุค “Marketing 5.0” นี้ เป็นยุคเปลี่ยนผ่านสู่ “AI” อย่างเต็มรูปแบบ หลายแพลตฟอร์มทั้งTikTok, Shopee, Facebook, YouTubeเปลี่ยนวิธีการนำเสนอ มีระบบ “ตะกร้า” เข้ามาให้ขายสินค้าได้ทันที ไม่ต้องใช้วิธีการตลาดที่ยุ่งยากเหมือนช่วงที่ผ่านมา เพิ่มโอกาสให้แบรนด์เข้าถึงผู้บริโภคได้ง่ายขึ้น ไม่จำเป็นต้องจ้างอินฟลูเอนเซอร์ที่ใช้งบประมาณสูงอีกต่อไป และทุกคนสามารถปั้นตัวเองเป็นอินฟลูเอนเซอร์ได้ ขอเพียงมีคอนเทนต์ที่แข็งแกร่งและสินค้ามีคุณภาพตรงกับความต้องการของผู้บริโภค

ดังนั้นเจ้าของแบรนด์ในการตลาดยุคสมัยนี้จำเป็นต้องปรับตัวให้รวดเร็ว ภาพลักษณ์ผู้บริหารที่อยู่ไกลเกินเอื้อม บนหอคอยงาช้าง อาจไม่ใช่วิถีของการทำ“CEO Branding” ในยุคนี้อีกต่อไป โดยสิ่งที่สำคัญคือเปลี่ยน“CEO” ให้กลายเป็น“Influencer” นำเสนอตัวตนของแบรนด์ เน้นการปรากฏตัวซ้ำๆ ใช้ความจริงใจ ช่วยแก้ปัญหาได้ทันที จะเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยสร้างมูลค่าที่แท้จริงให้กับแบรนด์!