ททท. ดัน ‘ท่องเที่ยวเชิงการแพทย์’ ดึงเศรษฐีตะวันออกกลาง หนุนรายได้ 1.25 แสนล้านบาทปี 69

ททท. ดัน ‘ท่องเที่ยวเชิงการแพทย์’ ดึงเศรษฐีตะวันออกกลาง หนุนรายได้ 1.25 แสนล้านบาทปี 69

“การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย” (ททท.) ลุยตลาด “ท่องเที่ยวเชิงการแพทย์และสุขภาพ” (Health Tourism) ดึงเศรษฐีตะวันออกกลางและเอเชียใต้ เข้ามารับการรักษาพยาบาล พักผ่อน และท่องเที่ยวในไทย คาดการณ์ว่าตลอดปี 2568 จะมีรายได้จากตลาดท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ฯ กว่า 125,000 ล้านบาท

ณัฐ ครุฑสูตร รองผู้ว่าการด้านสินค้าและธุรกิจท่องเที่ยว การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ในปี 2569 ทาง ททท.เดินหน้ารุกตลาด “ท่องเที่ยวเชิงการแพทย์และสุขภาพ” เพราะประเทศไทยมีจุดแข็งเรื่อง “สถานพยาบาล” ที่มีมาตรฐานระดับโลก ได้รับการรับรองจาก JCI (Joint Commission International) มากถึง 61 แห่ง ราคาถูกกว่าถึง 30-70% เทียบกับประเทศตะวันตก และมีสถานพยาบาลครอบคลุมทุกภาคทั่วประเทศมากกว่า 500 แห่ง ไม่ว่าจะเป็นคลินิกหรือโรงพยาบาลที่พร้อมรองรับนักท่องเที่ยว โดยในปี 2568 คาดว่าประเทศไทยจะมีรายได้จากตลาด Health Tourism ประมาณ “125,000 ล้านบาท”

ทั้งนี้ตลาด Health Tourism มีจำนวนนักท่องเที่ยวประมาณ 580,654 คน คิดเป็นสัดส่วน 1.74% ของนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมด เจาะกลุ่มเศรษฐีมีรายได้มากกว่า 2 ล้านบาทต่อปี โดยประเทศที่นิยมเดินทางมารักษาในไทย มีจากกลุ่ม “ตะวันออกกลาง” เช่น การ์ตาร์ โอมาน และคูเวต กลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน เช่น กัมพูชา และกลุ่มประเทศเอเชียใต้ เช่น บังกลาเทศ โดยนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้มีการใช้จ่าย 107,662 บาท/คน/ทริป สูงกว่านักท่องเที่ยวทั่วไปประมาณ 102.67%

ขณะเดียวกัน ประเทศไทยมีความพร้อมเรื่องของ “คลินิก” ที่มีอยู่ใน “รีสอร์ตชั้นนำ” เช่น ชีวาศรม ส่วน เซเลส เกาะสมุย มีการร่วมกับบีดีเอ็มเอส เวลเนส คลินิก ซึ่งคลินิกที่มีโปรแกรมดูแลสุขภาพเชิงป้องกันระดับมาตรฐานโรงพยาบาล เมื่อเทียบราคารักษาพยาบาลในไทยยังได้เปรียบหลายประเทศ อาทิ สิงคโปร์ ซึ่งในไทยถูกกว่า 30-50% ถือว่าเป็นต่อมากในภูมิภาคอาเซียน

“กลุ่มตลาด Health Tourism ที่เดินทางมารักษาตัวในเมืองไทย ไม่ได้เดินทางเพื่อมารักษาพยาบาลเพียงอย่างเดียว แต่มาเพื่อฟื้นฟูสุขภาพ มีระยะเวลาในการพักยาวกว่านักท่องเที่ยวทั่วไป และในอนาคต ททท.จะมุ่งเจาะนักท่องเที่ยวต่างชาติกลุ่มผู้สูงวัยที่มาพักอยู่ในไทยเพิ่มขึ้น ซึ่งจะเป็นตัวสร้างรายได้ เพราะมีมูลค่าสูงกว่านักท่องเที่ยวกลุ่มอื่น เนื่องจากกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่มีเงิน สามารถรองรับค่าใช้จ่ายระดับสูงได้”

ททท. ดัน ‘ท่องเที่ยวเชิงการแพทย์’ ดึงเศรษฐีตะวันออกกลาง หนุนรายได้ 1.25 แสนล้านบาทปี 69

ณัฐ ครุฑสูตร

ณัฐ กล่าวเพิ่มเติมว่า อีกตลาดที่มีศักยภาพคือ “นักท่องเที่ยวลักชัวรี” (Luxury Tourist) ซึ่งมีรายได้มากกว่า 60,001 ดอลลาร์สหรัฐ/คน/ปี เห็นเทรนด์เติบโตอย่างต่อเนื่องจากการสำรวจพฤติกรรมนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งปี 2567 โดยแรงจูงใจที่ทำให้นักท่องเที่ยวลักชัวรีเลือกประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทาง ปัจจัยหลักที่เลือกคือ “ความหลากหลาย” ของแหล่งท่องเที่ยว 58.95% รองลงมาคืออัธยาศัยไมตรีของคนท้องถิ่น 52.97% และปัจจัยเรื่องอาหารและเครื่องดื่ม 51.69%

ทั้งนี้ พบว่าสัดส่วนนักท่องเที่ยวลักชัวรี นิยมเดินทางด้วยตนเองกว่า 87.31% เดินทางกับกลุ่มทัวร์ 9.60% ส่วนกลุ่มเดินทางด้วยตนเองและใช้บริการจากทัวร์ภายประเทศ 3.09% โดยมีวัตถุประสงค์ของการมาเยือนประเทศไทย นิยมเดินทางเพื่อพักผ่อนและวันหยุดมากที่สุด 78.68% ทำงานร่วมกับท่องเที่ยว 7.72% รับการรักษาสุขภาพ รักษาโรค 2.02% เข้าร่วมการแข่งขันกีฬา เล่นกีฬา 1.71% และฉลองการแต่งงาน ครบรอบแต่งงาน 1.22%

โดยนิยมเดินทางคนเดียว 29.25% เดินทางกับเพื่อน 19.74% เดินทางกับคู่สมรส 18.91% เดินทางกับครอบครัวหรือญาติ 18.6% เดินทางกับคู่รัก 8.91% และเดินทางกับเพื่อนร่วมงาน 4.56% ส่วนเมืองท่องเที่ยวยอดนิยมยังคงเป็น “กรุงเทพฯ” รองลงมาคือ ภูเก็ต ชลบุรี กระบี่ สุราษฎร์ธานี เชียงใหม่ ประจวบคีรีขันธ์ พังงา เชียงราย และระยอง มีจำนวนคืนพำนักเฉลี่ย 12.49 คืนต่อทริป ค่าใช้จ่ายรวมเฉลี่ยอยู่ที่ 6,333 บาท/คน/วัน เพิ่มขึ้น 52.53% เทียบกับปีก่อน คิดเป็นค่าใช้จ่ายต่อทริป 79,098 บาท/คน/ทริป เพิ่มขึ้น 74.14%

ด้านพฤติกรรมการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวลักชัวรี พบว่า “กิจกรรม” ที่ได้รับความนิยม 5 อันดับแรก ได้แก่ กิจกรรมรับประทานอาหารไทย 88.1% รองลงมาคือกิจกรรมชายหาด 60.07% นวดและสปา 55.19% ชมสถานที่ทางประวัติศาสตร์ 52.6% และแสงสียามค่ำคืน 46.41%

และเมื่อเจาะเฉพาะพฤติกรรม “การชอปปิง”​ ส่วนใหญ่นิยมซื้อเสื้อผ้า 54.08% ของที่ระลึก 43.58% ผลิตภัณฑ์อาหารไทย 37.24% เครื่องสำอาง เครื่องหอม 13.08% และเครื่องประดับ อัญมณี 11.4%

สำหรับการสำรวจ “ทัศนคติ” ต่อการท่องเที่ยวประเทศไทย พบว่านักท่องเที่ยวลักชัวรีให้คะแนน “ความพึงพอใจ” ในภาพรวมอยู่ที่ 97.75% เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 0.04% โดยด้านที่ได้รับความพึงพอใจสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ อัธยาศัยไมตรีของคนท้องถิ่น 97.29% รองลงมาคือความน่าสนใจของแหล่งท่องเที่ยว 96.32% และอาหารและเครื่องดื่ม 94.25% ส่วนด้านที่ได้รับคะแนนต่ำสุด 3 อันดับ คือความสะอาดและการบำรุงรักษาสถานที่ท่องเที่ยว ความสะอาดและสุขอนามัยของร้านค้าร้านอาหาร และด้านภาษากับการสื่อสาร

“อย่างไรก็ตาม เมื่อสอบถามถึงความต้องการกลับมาเยือนประเทศไทยอีกครั้งในอีก 2-3 ปีข้างหน้า นักท่องเที่ยวลักชัวรีระบุว่าจะกลับมา 83.09% ไม่แน่ใจ 8.47% และไม่กลับมา 8.44% ทั้งนี้พร้อมแนะนำบอกต่อเกี่ยวกับการท่องเที่ยวประเทศไทยกว่า 97.46% ส่วนประเด็นเกี่ยวกับความคาดหวังต่อการท่องเที่ยวประเทศไทย พบว่านักท่องเที่ยวได้รับประสบการณ์ตามคาดหวัง 50.96% สูงกว่าความคาดหวัง 48.71% และน้อยกว่าความคาดหวัง 0.33%”