‘เมย์-วาสนา’ ออกมาทำ ‘BioActive’ เพราะสูญหนี้ร้อยล้าน! ตั้งเป้าอีก 5 ปี แตะ ‘2 หมื่นล้าน’

จากเจ้าแม่ OEM สู่เจ้าของแบรนด์พันล้านภายในเวลา 7 เดือน! เปิดที่มา “BioActive” ของ “เมย์-วาสนา อินทะแสง” ออกมาทำแบรนด์เพราะอยากยืนด้วยขาตัวเอง มองตลาดอาหารเสริมหมดยุค “ตีหัวเข้าบ้าน” ของดีจริงถึงยาว ลุ้นสิ้นปีแตะ “2,000 ล้าน” ตั้งเป้าอนาคตอยากเป็นผู้เล่นบนเวทีโลก
KEY
POINTS
- “เมย์-วาสนา” ปรากฏชื่อในหน้าสื่อจากข่าวใหญ่เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา มีแบคกราวนด์คร่ำหวอดในธุรกิจรับจ้างผลิตอาหารเสริม ภายใต้อาณาจักร “Revomed Group” ที่กำลังไต่สู่ระดับพันล้าน
- หลังจากอยู่หลังบ้านมานาน เมย์ออกมาปั้นแบรนด์ “BioActive” ที่เป็นการเข้าซื้อหุ้นจากต้นกำเนิดฝั่งนิวซีแลนด์ เปิดมาได้เพียง 5 เดือน ทำยอดขายไปแล้ว “921 ล้านบาท”
- เมย์ตั้งเป้าส่ง “BioActive” เป็นแบรนด์ระดับโลก อยู่ในขั้นตอนเจรจากับคู่ค้าฝั่งสหรัฐ วางแผนไปจีน ญี่ปุ่น เกาหลี และยุโรป อีก 5 ปี ต้องทำเงินได้ทุกประเทศรวมกัน “20,000 ล้า
ชื่อของ “เมย์-วาสนา อินทะแสง” เป็นที่รู้จักในวงกว้างจากข่าวใหญ่บนหน้าสื่อเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา เธอไม่ใช่ดารานักแสดงในวงการ แต่คร่ำหวอดในธุรกิจอาหารเสริมแบบรับจ้างผลิต หรือ “OEM” มาเกือบสิบปี รายได้จากบริษัท “Revomed Group” ก็เข้าใกล้พันล้านมากขึ้นเรื่อยๆ แต่กลายเป็นว่า เมื่อช่วงกลางปี 2568 ที่ผ่านมา “เมย์” ตัดสินใจออกมาเปิดหน้าปั้นแบรนด์ครั้งแรก โดยเจ้าตัวบอกว่า อาจมีลุ้นจบปีที่ “2,000 ล้านบาท”
เหตุผลที่ออกจาก “หลังบ้าน” มาทำธุรกิจ “หน้าบ้าน” แม้ว่า “Revomed Group” จะเติบโตต่อเนื่อง เป็นเพราะเธอไม่อยากจะยืมจมูกคนอื่นหายใจอีกแล้ว ธุรกิจรับจ้างผลิตในปีที่ผ่านมามีหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มขึ้นเยอะมาก ส่งผลให้งบการเงินของ บริษัท รีโว่เมด กรุ๊ป จำกัด ติดลบกว่า 78 ล้านบาท นับเป็นตัวเงินทั้งหมดจริงๆ สูงถึงหลักร้อยล้าน จึงคิดว่า ถ้าขายดีแล้วไม่ได้เงิน ก็ออกมาขายเองเลยดีกว่า
ซื้อ “BioActive” มาปั้นต่อ สร้างแบรนด์เองโตช้ากว่า เพราะเงินซื้อเวลาไม่ได้
แท้จริงแล้ว “BioActive” เป็นแบรนด์เก่าแก่ที่มีอายุยาวนาน 40 ปี มีนักธุรกิจชาวนิวซีแลนด์อายุ 80 ปีเป็นผู้ปลุกปั้น แต่เนื่องจากบริษัทดังกล่าวมีธุรกิจหลายแกน โดยเฉพาะโปรดักต์ที่เกี่ยวข้องกับ “Colustrum” หรือหัวน้ำนมเข้มข้น นมผึ้ง นมแพะ อโวคาโด ฯลฯ ซึ่งเป็นสัดส่วนหลักที่ทำเงินให้กับบริษัท ส่วน “BioActive” เป็นจังหวะที่เจ้าของเดิมไม่ได้เข้ามาทำการตลาดอย่างเต็มที่ ประกอบกับ “เมย์” มีความสัมพันธ์อันดีกับโรงงานที่นี่มานาน 9 ปี จึงได้จังหวะที่จะเข้าไปเจรจาขอซื้อมาทำเอง
อาหารเสริมระดับโลกที่ผู้บริโภคให้ความวางไว้ใจมีหลักๆ 3 ประเทศ ได้แก่ ออรเตรเลีย นิวซีแลนด์ และสวิตเซอร์แลนด์ สิ่งที่สร้างไม่ได้ง่ายๆ ชั่วข้ามคืน คือ “Trustworthy” แม้ว่าตัวเธอเองจะทำธุรกิจรับจ้างผลิตอาหารเสริมเป็นเบอร์ต้นๆ ของเมืองไทย แต่การสร้างแบรนด์ต้องใช้เวลาไม่น้อย “เมย์” บอกว่า เงินซื้อได้ทุกอย่างแต่ซื้อเวลาไม่ได้ จึงตัดสินใจซื้อหุ้น “BioActive” ที่นิวซีแลนด์ 55% เจ้าของเดิมถือ 45% ส่วนธุรกิจ BioActive ในไทย เป็นทีมของเมย์ถือหุ้น 100%
นอกจากเรื่องขายดีแต่เรียกเก็บเงินไม่ได้ “เมย์” บอกว่า เป็นเพราะแบรนดิ้งของ “BioActive” อยู่ในสถานะ “Global Brand” ใช้เงินลงทุนสูง ใช้กระแสเงินสดขับเคลื่อนธุรกิจกว่า 500 ล้านบาท ต้องขยายกำลังการผลิต สั่งออกแบบเครื่องจักรใหม่ ทั้งยังมีแผนเพิ่มโรงงานอีก 1 แห่ง ระบุว่า โจทย์ค่อนข้างยากกว่าตัวอื่นๆ และมีเป้าหมายสูงสุดที่ใหญ่กว่า คือการไปให้ถึงระดับโลก
“จริงๆ กำไรเราดีมากมาตลอด แต่หนี้ที่เก็บไม่ได้มีประมาณ 7 เจ้าใหญ่ ไม่มีเจ้าไหนต่ำกว่า 10 ล้าน คงเป็นเรื่องของภาวะเศรษฐกิจตอนนั้น และหลายๆ แบรนด์ในตลาดออนไลน์ตอนนี้สถานการณ์น่ากลัวมาก เมย์โชคดีที่เข้ามาในจังหวะที่หลายคนกำลังจมน้ำ หลายแบรนด์กำลังไม่มีทิศทาง หลายแบรนด์ลงทุนไปก็ขาดทุน พอเราเข้ามาหลายแบรนด์เลิกทำเองแล้วมาขายจากการติด Affiliate Link สินค้าเราก็มี”
-เมย์-วาสนา อินทะแสง ผู้บริหาร BioActive-
“เมย์” บอกว่า ส่วนที่อยากนำเสนอ คือบรรจุภัณฑ์แบบหลอดที่เป็นนวัตกรรมใหม่ซึ่งไม่เคยมีในเมืองไทยมาก่อน ระดับโลกอาจมีบรรจุภัณฑ์อาหารเสริมรูปแบบหลอด แต่ก็ไม่ใช่ลักษณะเดียวกันอยู่ดี ซึ่งทาง “BioActive” ไปจดสิทธิบัตรเรียบร้อยแล้ว ต้องการทำให้แตกต่างและเปลี่ยนพฤติกรรมของคนกิน ทั้งการพกหลอดติดตัวที่ให้ความสะดวกสบาย รสชาติที่ไม่ติดขม กินแทนของหวานก็ได้ ใช้เวลา 2 ปีกว่าๆ ถึงออกมาเป็นหลอดหลากสีแบบที่เราเห็นกัน
หมดยุคอาหารเสริม 10 บาท คนยอมจ่ายหลักพันเพราะอยากได้คุณภาพ
สถานการณ์ก่อนที่ “BioActive” จะเข้ามาทำตลาด ภาพรวมของธุรกิจอาหารเสริมบ้านเราเต็มไปด้วยโปรดักต์ “ไม่ตรงปก” เมย์เล่าให้ฟังว่า ราคาต่ำที่สุดที่เคยเห็นขายกันมีตั้งแต่ซองละ 9-10 บาท สุดท้ายขายไม่ออก ต้องโละสต๊อกทิ้ง เพราะของไม่มีคุณภาพตลาดอาหารเสริมจึงพังพินาศ ผลสะเทือนต่อมา คือผู้บริโภคไม่ไว้ใจ ไม่กล้าซื้อ รู้สึกว่า กินแล้วไม่เห็นผลอย่างที่เคลม คนขายก็ขายแพงไม่ได้ ต้องกดต้นทุน กดราคาสินค้า เมื่อเกิดเป็นวัฏจักรเช่นนี้จึงทำให้ธุรกิจอยู่ไม่ได้
ทั้งนี้ “เมย์” แชร์ให้ฟังว่า ในฐานะผู้ผลิต พบว่า มีมากถึง 80% ของแบรนด์ติดต่อมาด้วยโจทย์เดียวกัน คือต้องการตีตลาด TikTok และขอต้นทุนไม่เกิน 25% ขณะเดียวกันก็อยากได้ผลลัพธ์ที่ดี ซึ่งสิ่งที่เธอตอบกลับไป คืออะไรที่ไม่ตกปกโรงงานไม่ทำ ถ้าอยากได้ต้นทุนหลักสิบก็ทำให้ได้ในราคาหลักสิบ และเห็นผลลัพธ์ด้วยราคาหลักสิบเช่นกัน ระบุว่า ตลาดเมืองไทยยังมีช่องโหว่มากพอสมควร เขียนคำเคลมปริมาณสารสกัดที่ใส่ลงไปข้างกล่อง แต่ใส่เข้าไปจริงๆ กลับมีไม่ถึง แบรนด์ส่วนใหญ่ในไทยยังเป็นแบบนั้น
“ตลาดอาหารเสริมเขาฟ้องร้องกันเยอะ ประเภทที่หยิบเทรดมาร์กมาใช้แล้วไม่ได้ใช้จริง เรียกว่า หน้าไม่ตรงปก ซึ่ง 80% ของตลาดเป็นแบบนั้น แต่ต่างประเทศไม่เป็น ซึ่งเราไม่ทำอะไรที่ไม่ใช่ไดเรกชัน จะชัดเจนว่า ไม่ทำดีกว่า คุณก็ไปหาโรงงานที่ตรงกับสิ่งที่คุณต้องการก็แล้วกัน อะไรที่ทำไม่ได้เราจะไม่ทำ”
แม้จะมีเจ้าของแบรนด์ที่ต้องการกดต้นทุนโดยไม่ได้ให้ความสำคัญกับคุณภาพมากเพียงพอ แต่ก็ยังมีอีกกลุ่มที่ยอมจ่ายเพื่อได้ของดีจริงๆ บางแบรนด์ขอตั้งราคาขายที่หลักพันเพื่อให้ได้ผลลัพธ์หลักพัน มีอยู่ราวๆ 10% ของกลุ่มลูกค้าที่มาผลิตกับ “Revomed Group” ส่วนใหญ่กลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มที่ยังเติบโตได้ดีในตลาด
ส่วนกลุ่มที่เน้น “ตีหัวเข้าบ้าน” ทุกวันนี้ทยอยตายไปหมดแล้ว โดยหลังจากมาปั้นแบรนด์ “BioActive” เมย์ก็อยากให้แบรนด์มีฐานแฟน มองโปรดักต์เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน ผ่านไปหลายปีก็ยังซื้อกินซื้อใช้
“เราไม่สามารถทำของดีในราคา 9 บาทให้เขากินได้ มันเป็นไปไม่ได้ สารสกัดตัวหนึ่งราคาหลักแสนหลักล้านต่อกิโลกรัม ถ้าจะเอานวัตกรรมระดับโลกมาใช้มันทำไม่ได้หรอก แค่แป้งอย่างเดียวยังไม่พอเลย มันก็จะเกิดภาวะที่คนขายทิ้ง โละทิ้ง ผลิตมาก็ขายไม่ได้เยอะมาก เกิดแบรนด์ที่ไม่ได้ไปต่อประมาณ 90% เราอยู่หลังบ้านเห็นแล้วว่า ทิศทางประเทศไทยเริ่มแย่แล้ว อันนี้คือสิ่งที่เมย์เจอ”
เตรียมขายใน 7-Eleven อยากเป็น Global Brand ภายใน 5 ปี ต้องทำได้ “20,000 ล้าน”
หลังเปิดตัวเข้าเดือนที่ห้า “BioActive” ทำยอดขาย ณ วันที่ 9 กันยายน 2568 ไปแล้ว “921 ล้านบาท” จากเป้าหมาย 1,500 ล้านบาทภายในสิ้นปี มียอดสั่งซื้อเข้ามาทั้งหมด 1.5 ล้านกล่อง เฉลี่ยขายไปแล้ว 15 ล้านหลอด “เมย์” บอกว่า สเตปต่อไปต้องการนำสินค้าเข้าไปวางขายในร้านสะดวกซื้อเซเว่น-อีเลฟเว่น (7-Eleven) ในรูปแบบ “Single Tube” สนนราคาตั้งแต่หลอดละ 59 บาท 69 บาท และ 79 บาท
ส่วนช่องทางการจัดจำหน่ายตอนนี้ยังโฟกัสที่อีคอมเมิร์ซเป็นหลัก “TikTok” ไม่ได้ทำแค่ยอดขาย แต่เป็นช่องทางในการสื่อสารกับผู้บริโภคด้วย มีเรื่องของเทรนด์และไวรัลคอนเทนต์ผสมผสานกัน สัดส่วนออนไลน์จึงอยู่ที่ 50% มองการเข้าไปขายบนออฟไลน์อีก 20% และอีก 30% เป็นแพลตฟอร์มอื่นๆ และอีกส่วนที่กำลังอยู่ระหว่างขั้นตอนการทำงาน คือกลุ่มโรงพยาบาล เมย์บอกว่า ตอนนี้มีคุณหมอเรียกร้องมาเยอะมาก อยากให้มอง “BioActive” เป็น “Functional Drink” ที่จัดอยู่ในกลุ่ม Medical Grade
ภาพของ “BioActive” หลังจากนี้ไม่หยุดแค่ในประเทศ มองไปถึงตลาด CLMV และสหรัฐ ซึ่งตอนนี้มีการติดต่อพูดคุยกับพาร์ทเนอร์ที่สหรัฐเรียบร้อยแล้ว อยู่ในขั้นตอนการทำกลยุทธ์ร่วมกัน ไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ จะขยายไปยังกลุ่มประเทศจีน ญี่ปุ่น และเกาหลี และไตรมาสที่ 1 ปี 2569 จะเริ่มขยายไปยุโรป แบ่งสัดส่วนทำการตลาดแบบ “Localization” ให้เหมาะสมกับแต่ละพื้นที่
พร้อมกับเป้าใหญ่ภายใน 5 ปี ด้วยผลประกอบการ “20,000 ล้านบาท” เมย์คาดว่า ในไทยน่าจะไปจบที่ “5,000 ล้านบาท” ได้ แต่สำหรับตลาดระดับโลกอยากให้ไปถึงหมื่นล้าน อยากเป็นธุรกิจของคนไทยที่ไปยืนบนเวทีโลกในเซกเมนต์ Health & Beauty ถ้าทำได้คงเป็นเรื่องที่น่าภูมิใจ







