ธุรกิจเอสเอ็มอีกับเป้าหมาย Net Zero 2050

ธุรกิจเอสเอ็มอีกับเป้าหมาย Net Zero 2050

ในระยะหลังๆ นี้ เราคงจะได้รับทราบข่าวคราวหนาหูขึ้นเกี่ยวกับเรื่องการกำหนดและวางแนวทางเชิงกลยุทธ์ของธุรกิจขนาดใหญ่ในประเทศเกี่ยวกับเรื่องของการบรรลุถึงเป้าหมาย Net Zero 2025 ของประเทศไทย

ผู้บริหารธุรกิจส่วนใหญ่ก็คงจะทราบว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการให้ความร่วมมือเพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและทรัพยากรของโลกที่กำลังเสื่อมโทรมไปอย่างรวดเร็วจากการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วของการพัฒนาเศรษฐกิจด้วยกิจกรรมทางธุรกิจอุตสาหกรรมในแทบทุกประเทศ ทั้งประเทศที่พัฒนาแล้วและประเทศกำลังพัฒนา

คำว่า “Net Zero” น่าจะเป็นคำที่สื่อถึงพัฒนาการในระดับที่สูงขึ้นกว่าคำว่า “Carbon Neutrality” ซึ่งหมายถึงการบริหารจัดการกิจกรรมต่างๆ ให้มีการชดเชยการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนออกสู่บรรยากาศโลกด้วยการจัดการให้มีการดูดกลับก๊าซคาร์บอนออกจากบรรยากาศในปริมาณที่เท่ากัน เพื่อรักษาระดับของก๊าซคาร์บอนไม่ให้สูงขึ้นจนทำให้สมดุลของโลกสูญเสียไปในทางที่จะทำให้เกิดผลเสียต่อธรรมชาติและการดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิตบนโลก

ก๊าซคาร์บอนที่ว่านี้ หมายถึง ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และก๊าซอื่น ซึ่งเป็นตัวสำคัญที่จะไปปกคลุมบรรยากาศทำให้เกิดสภาวะโลกร้อนขึ้น จนทำให้เกิดภัยธรรมชาติที่มีความรุนแรงมากขึ้นกว่าในอดีต ก๊าซอื่นที่ว่านี้ อาจได้แก่ ก๊าซมีเทน และ ก๊าซไนโตรเจนออกไซด์ ฯลฯ เป็นต้น

ส่วนใหญ่ กลยุทธ์ของธุรกิจเพื่อให้บรรลุภารกิจของการรักษาสมดุลของการปล่อยก๊าซคาร์บอนจากกิจกรรมการดำเนินธุรกิจคือ การจัดซื้อ “คาร์บอนเครดิต” หรือการลงทุนในเทคโนโลยีที่จะสามารถลดการปล่อยก๊าซจากที่เป็นอยู่ ไปจนถึงเทคโนโลยีของการดูดกลับก๊าซคาร์บอนในบรรยากาศโดยตรง เช่น จากการปลูกป่า หรือการสกัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากบรรยากาศโดยตรงและนำไปกักเก็บไว้ใต้ดิน

ซึ่งจะเห็นได้ว่า ธุรกิจที่อ้างได้ว่าเป็นธุรกิจที่เป็นกลางหรือมีความสมดุลในการปล่อยก๊าซคาร์บอนเท่ากับการดูดกลับ อาจจะปล่อยก๊าซคาร์บอนในปริมาณที่มากขึ้น แต่มีความสามารถในการซื้อ “คาร์บอนเครดิต” มาชดเชยได้ โดยไม่ต้องคำนึงถึงความพยายามที่จะลดความปลดปล่อยก๊าซคาร์บอน หรือมลภาวะอื่นๆ โดยตรงด้วยตัวธุรกิจเอง

ที่สามารถทำได้โดยง่ายเพื่อการสร้างภาพลักษณ์ด้านการดูแลสิ่งแวดล้อมที่ดีให้กับธุรกิจ

นอกจากนี้ ยังมีการพบว่าในกระบวนการทางธุรกิจ ซึ่งแบ่งประเภทของกิจกรรมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยรวมของกิจการออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ 1.การปล่อยก๊าซโดยตรงจากกระบวนการการทำงาน 2.การปล่อยก๊าซทางอ้อมจากการใช้พลังงานไฟฟ้าและเชื้อเพลิงที่ซื้อมา และ 3.การปล่อยก๊าซทางอ้อมอื่นๆ รวมถึง การปล่อยก๊าซในส่วนของสินค้าหรือวัตถุดิบที่จัดซื้อจัดหามาจากคู่ค้าภายนอก และการปล่อยก๊าซประเภทสุดท้ายนี้ อาจมีปริมาณถึงมากกว่า 70% เทียบกับ 2 ประเภทแรก และไม่ได้นำมาคิดรวมในการประเมินการชดเชยด้วยการดูดกลับ

ดังนั้น จึงเกิดแนวคิด Net Zero ที่เน้นการลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดภายในการดำเนินกิจกรรมทางธุรกิจให้มีปริมาณเข้าใกล้เคียงหรือเป็นศูนย์ไปเลยเพื่อเพิ่มประสิทธิผลต่อการลดปรากฏการณ์โลกร้อนได้ตรงประเด็นขึ้น โดยไม่ต้องพึ่งพาการชดเชยโดยแนวทางการดูดกลับก๊าซด้วยวิธีซื้อ “คาร์บอนเครดิต”

นอกจากนี้ แนวคิด Net Zero ยังจะปูทางไปสู่การเปลี่ยนกลยุทธ์การแสดงความรับผิดชอบของธุรกิจต่อการอนุรักษ์บรรยากาศของโลก จากการเพิ่มค่าใช้จ่ายเพื่อนำไปซื้อ “คาร์บอนเครดิต” ซึ่งอาจไม่สามารถทราบผลของการดูดกลับก๊าซได้ชัดเจน ไปสู่กลยุทธ์ “การลงทุนเพื่อการอนุรักษ์บรรยากาศ - Climate Investment” ซึ่งเป็นการลงทุนที่ธุรกิจสามารถควบคุมและวัดผลได้ด้วยตัวเอง

ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในเทคโนโลยีดูดกลับก๊าซเรือนกระจก หรือการลงทุนในเทคโนโลยีเพื่อการลดปริมาณการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกสู่บรรยากาศ!!??!!