โลกร้อนทำคาปูชิโน่ราคาพุ่ง...ใครต้องปรับตัว?

ภาครัฐและสถาบันการเงินควรเข้ามาสนับสนุนด้านองค์ความรู้และเงินทุน รวมถึงสร้างกลไกทางการเงินที่ช่วยให้เกษตรกรและผู้ประกอบการสามารถรับมือกับความเสี่ยงจากสภาพอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อห่วงโซ่อุปทานในธุรกิจกาแฟสามารถรับมือกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น ย่อมหมายถึงความยืดหยุ่นที่เพิ่มมากขึ้นในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทั้งหมดนี้เพื่อให้ธุรกิจกาแฟเดินหน้าในฐานะอีกหนึ่งแรงสนับสนุนเศรษฐกิจไทยต่อไป

KEY

POINTS

  • เกษตรกรผู้ปลูกกาแฟ (กิจการต้นน้ำ) ต้องปรับตัวโดยนำเทคโนโลยีการเกษตรสมัยใหม่มาใช้ เช่น ระบบชลประทานอัจฉริยะ พัฒนานวัตกรรมการปลูก และใช้สายพันธุ์กาแฟที่ทนต่อสภาพอากาศ
  • ผู้ประกอบการกลางน้ำ (โรงคั่ว) และปลายน้ำ (ร้านกาแฟ) ต้องรับมือกับต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อราคากาแฟและบังคับให้ต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอดของธุรกิจ
  • ภาคธนาคารและสถาบันการเงิน ต้องปรับกระบวนการพิจารณาสินเชื่อโดยคำนึงถึงความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และควรสนับสนุนแหล่งเงินทุนรวมถึงสร้างผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ๆ เพื่อช่วยลดผลกระทบให้ผู้ประกอบการ
  • ภาครัฐ ควรเข้ามามีบทบาทในการสนับสนุนด้านองค์ความรู้ เงินทุน และสร้างกลไกทางการเงินที่ช่วยให้ผู้ประกอบการในห่วงโซ่อุปทานกาแฟสามารถรับมือกับความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ธุรกิจที่เกี่ยวข้องในห่วงโซ่อุปทานกาแฟทั้งหมด ควรเริ่มเก็บข้อมูลผลกระทบและจัดทำแผนการปรับตัว เพื่อวิเคราะห์ความเสี่ยงและโอกาส ซึ่งจำเป็นต่อการวางแผนระยะยาวและการเข้าถึงแหล่งทุน

สวัสดีครับ

การดื่มกาแฟถือเป็นหนึ่งในกิจกรรมโปรดของหลายๆ ท่านก่อนเริ่มภารกิจในแต่ละวัน ทราบหรือไม่ว่าคนไทยเราบริโภคกาแฟมากกว่า 340 แก้วต่อคนต่อปี ในช่วงเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมา ท่านผู้อ่านน่าจะรู้สึกได้ว่าราคากาแฟเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เมื่อสัปดาห์ก่อน ผมได้มีโอกาสไปซื้อกาแฟสดที่ร้านประจำ พบว่าราคาเพิ่มขึ้นจากเดิมเมนูละ 5-10 บาท แม้จะไม่ได้เป็นจำนวนเงินที่มากมาย แต่ราคาที่เพิ่มขึ้นได้สะท้อนถึงปัจจัยต้นทุนการดำเนินงาน (Operating Expense) ที่บังคับกลายๆ ให้ร้านกาแฟต้องปรับราคาเพื่อให้สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ครับ

ในแง่เศรษฐกิจ กาแฟเป็นพืชที่ต้องอาศัยสภาพภูมิอากาศที่เหมาะสมสำหรับการเพาะปลูกจึงจะสร้างผลผลิตได้ดี ทว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกำลังคุกคามธุรกิจกาแฟมากขึ้นเรื่อยๆ Christian Aid ซึ่งเป็นองค์กรการกุศลเคยออกมาประเมินไว้ว่าหากอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกเพิ่มขึ้น 1.5 - 2 องศาเซลเซียสก่อนยุคอุตสาหกรรม (Pre-Industrial Level) พื้นที่ที่สามารถเพาะปลูกกาแฟทั่วโลกอาจลดลงถึงร้อยละ 54.4 ซึ่งถ้าโลกเราเดินหน้าไปถึงจุดเดือดดังกล่าว จะส่งผลกระทบลุกลามไปถึงระบบการเงิน การค้า และเศรษฐกิจโดยอย่างมาก

ในภาพใหญ่ ตลาดกาแฟทั่วโลกมีมูลค่าอยู่ที่ 270 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 8.7 ล้านล้านบาท) และคาดว่าจะเติบโตเป็น 370 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 12 ล้านล้านบาท) ภายในปี 2573 อย่างไรก็ตาม ด้วยสภาพอากาศที่แปรปรวนและอุณหภูมิเฉลี่ยที่สูงขึ้นเริ่ม เราจึงไม่สามารถมองข้ามประเด็นด้านผลผลิตและห่วงโซ่อุปทานกาแฟโดยรวม ซึ่งอาจทำให้กิจการต้นน้ำ (Upstream) หรือเกษตรกรที่เพาะปลูกและดูแลต้นกาแฟ กิจการกลางน้ำ (Midstream) หรือโรงคั่ว และกิจการปลายน้ำ (Downstream) หรือบรรดาร้านกาแฟได้รับผลกระทบจากต้นทุนที่สูงขึ้น

ธุรกิจกาแฟไทยมีส่วนสร้างเศรษฐกิจของประเทศไม่น้อย โดยประเทศไทยนับเป็นผู้เพาะปลูกกาแฟชั้นนำในอาเซียนเคียงคู่กับทั้งเวียดนามและอินโดนีเซีย กรมพัฒนาธุรกิจการค้า (DBD) ชี้ว่าประเทศไทยมีพื้นที่ปลูกกาแฟประมาณ 220,000 ไร่ ทั้งในภาคเหนือและภาคใต้ของประเทศ ที่ให้ผลผลิตปีละประมาณ 40,000 - 50,000 ตัน ขณะที่ในปี 2567 มูลค่าตลาดกาแฟบ้านเรามีมูลค่ากว่า 65,000 ล้านบาท สะท้อนว่ากาแฟเป็นอีกหนึ่งเครื่องจักรในการขับเคลื่อนประเทศ ทั้งในแง่การจ้างงานและการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ ดังนั้น หากไม่เร่งหาแนวทางสนับสนุนให้ธุรกิจกลุ่มนี้ปรับตัว ผู้ประกอบการอาจ “ตกขบวน” และไม่สามารถแข่งขันได้จากทั้งผลผลิตและคุณภาพเมล็ดกาแฟที่อาจลดลง ซึ่งจะส่งผลต่อรายได้จนนำไปสู่ภาระหนี้สินที่สูงขึ้นจากทั้งการพึ่งพาสินเชื่อในระบบ และอาจรวมถึงแหล่งเงินกู้นอกระบบที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงอีกด้วย

เพื่อรับมือกับความเสี่ยงที่กล่าวมา ทุกภาคส่วนจึงควรเร่งให้ความรู้ รวมถึงสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่สนับสนุนการปรับตัวของการเกษตรและภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจกาแฟ เพื่อให้สามารถนำความรู้และเงินทุนไปใช้ในการจัดการระบบชลประทานที่ล้ำสมัย (Climate Smart Agriculture) พัฒนานวัตกรรมการปลูกกาแฟ หรือศึกษาความเป็นไปได้ในการใช้สายพันธุ์กาแฟที่ทนต่อสภาพอากาศ ในอนาคตอาจต้องมีการนำเสนอผลิตภัณฑ์การเงินประกันภัยเกี่ยวกับกาแฟ หรือโมเดลการเงินสำหรับภาคการปลูกและผลิตกาแฟโดยเฉพาะ ที่จะสามารถช่วยลดผลกระทบด้านรายได้จากเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วได้ดียิ่งขึ้น

ในมุมธนาคาร แน่นอนว่าประเด็นที่ต้องคำนึงถึงก่อนจะให้สินเชื่อแก่ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับกาแฟคือ “ความเสี่ยงด้านเครดิต” ซึ่งต้องอาศัยการพิจารณาข้อมูลหลายด้านของธุรกิจทั้งด้านความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Physical Risk) และความเสี่ยงจากการเปลี่ยนผ่าน (Transition Risk) ของผู้มีส่วนได้เสียในห่วงโซ่อุปทาน ดังนั้น ธุรกิจที่เกี่ยวข้องจึงควรเริ่มเก็บข้อมูลของผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมถึงจัดทำแผนเพื่อการเปลี่ยนผ่านในเบื้องต้นเพื่อวิเคราะห์ประเด็นด้านโอกาสและความเสี่ยงอันจะทำให้มีข้อมูลเพื่อนำไปสร้างแผนงานเพื่อการปรับตัวในระยะยาว

อย่างไรก็ดี การจะพึ่งพาแต่ภาคธนาคารอาจไม่เพียงพอ เราจึงควรเร่งหาแนวทางการสนับสนุนผ่านกลไกต่างๆ ด้วย หนึ่งในตัวอย่างที่น่าสนใจคือ การหาการสนับสนุนจากหน่วยงานต่างประเทศ เช่น กองทุนภูมิอากาศสีเขียว (Green Climate Fund: GCF) ที่ได้ให้การสนับสนุน “โครงการ AROMA3” ซึ่งมีเป้าหมายหลักในการเสริมสร้างศักยภาพการปรับตัวให้แก่เกษตรกรรายย่อยผู้ปลูกกาแฟในประเทศต่างๆ ได้แก่ โคลอมเบีย เอธิโอเปีย เม็กซิโก ยูกันดา และเวียดนาม ผ่านแนวทางการทำเกษตรแบบฟื้นฟู (Regenerative Agriculture) การใช้พันธุ์พืชที่ทนต่อสภาพภูมิอากาศ และการส่งเสริมระบบวนเกษตร (Agroforestry) โครงการดังกล่าวได้ฉายภาพให้เห็นถึงการใช้กลไกด้านการเงินเพื่อสภาพภูมิอากาศ (Climate Finance) ที่สนับสนุนให้เกษตรกรมีความยั่งยืนในการประกอบอาชีพ ควบคู่ไปกับการรักษาทรัพยากรธรรมชาติได้อย่างสมดุลครับ

ดังนั้น การปรับตัวจึงเป็นหนทางแห่งความอยู่รอดของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจกาแฟไทย ขณะที่ภาครัฐและสถาบันการเงินควรเข้ามาสนับสนุนด้านองค์ความรู้และเงินทุน รวมถึงสร้างกลไกทางการเงินที่ช่วยให้เกษตรกรและผู้ประกอบการสามารถรับมือกับความเสี่ยงจากสภาพอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อห่วงโซ่อุปทานในธุรกิจกาแฟสามารถรับมือกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น ย่อมหมายถึงความยืดหยุ่นที่เพิ่มมากขึ้นในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทั้งหมดนี้เพื่อให้ธุรกิจกาแฟเดินหน้าในฐานะอีกหนึ่งแรงสนับสนุนเศรษฐกิจไทยต่อไปครับ