'ท่องเที่ยว' สูญเสียความสามารถแข่งขัน 'ไนท์แฟรงค์' ชี้ยอดเข้าพักโรงแรมกรุงเทพฯ ติดลบ

'ท่องเที่ยว' สูญเสียความสามารถแข่งขัน  'ไนท์แฟรงค์' ชี้ยอดเข้าพักโรงแรมกรุงเทพฯ ติดลบ

แนวโน้มตลาด “โรงแรม” ใน “กรุงเทพฯ” ช่วงครึ่งหลังของปี 2568 ยังคงน่ากังวลและจับตาอย่างใกล้ชิด ท่ามกลางสัญญาณหลากหลายในภาคการท่องเที่ยว

บริษัท ไนท์แฟรงค์ ชาร์ตเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด รายงานสถานการณ์ธุรกิจโรงแรมกรุงเทพฯ ว่า หลังจากครึ่งปีแรกซบเซา มีอัตราการเข้าพักลดลง 3.7 จุด เหลือเพียง 75.1% และค่าเฉลี่ยราคาห้องพักต่อคืน (ADR) เติบโตเพียงเล็กน้อยอยู่ที่ 4,260 บาท ความสนใจในช่วงครึ่งหลังของปีจึงมุ่งไปที่การดูดซับอุปทานใหม่กว่า 3,283 ห้องพักที่จะเปิดก่อนสิ้นปี ซึ่งจะทำให้อุปทานใหม่รวมทั้งปี 2568 เกินกว่า 5,100 ห้องพัก นับเป็นการเติบโตประจำปีที่รวดเร็วที่สุดนับตั้งแต่การแพร่ระบาดของโควิด-19

ปัจจัยฉุดรั้งผลการดำเนินงานสำคัญ คือการลดลงอย่างมากของ “นักท่องเที่ยวจีน” ที่หดตัวเกือบ 35% เทียบปีต่อปีในครึ่งแรกปี 2568 แม้ว่าจีนยังคงเป็นตลาดนักท่องเที่ยวหลักของไทยในเชิงปริมาณ แต่การชะลอตัวดังกล่าวส่งผลกระทบอย่างมากต่อ “โรงแรมระดับกลาง” และ “โรงแรมที่พึ่งพากรุ๊ปทัวร์” เป็นหลัก

ทั้งนี้น่าสังเกตว่าการเดินทางออกนอกประเทศของชาวจีนทั่วโลกยังคงแข็งแกร่ง โดย “เวียดนาม” ต้อนรับนักท่องเที่ยวจีนกว่า 2.7 ล้านคน และ “ญี่ปุ่น” 3.13 ล้านคนในช่วงไม่กี่เดือนแรกของปี ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนว่าไม่ได้เกิดจากการขาดแคลนอุปสงค์การท่องเที่ยวของจีน แต่เป็น “การสูญเสียความสามารถในการแข่งขันของไทย” เมื่อเทียบกับจุดหมายปลายทางอื่น ๆ อันเป็นผลมาจากการรับรู้ด้านความปลอดภัย ภาพลักษณ์เชิงลบในสื่อ และความชอบของนักท่องเที่ยวที่เปลี่ยนแปลงไป

เที่ยวไทยชดเชยตลาดต่างชาติไม่ได้

แม้มาตรการยกเว้นวีซ่าและการเชื่อมต่อเที่ยวบินในภูมิภาคที่ดีขึ้นยังคงสนับสนุนการท่องเที่ยว แต่รัฐบาลก็เริ่มออกมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศ เช่น โครงการ “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” และสิทธิประโยชน์ทางภาษีใหม่ ๆ เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศ โดยเฉพาะช่วงโลว์ซีซั่นในครึ่งปีหลัง การฟื้นตัวจะพึ่งพาตลาดและการเพิ่มขึ้นของกำลังการให้บริการสายการบินเป็นหลัก การเติบโตจากตลาดอินเดีย 14.6% และรัสเซีย 11.1% ยังคงเป็นปัจจัยบวกที่โดดเด่น ร่วมกับแรงส่งในระดับปานกลางจากตลาดอาเซียน แต่การเติบโตเหล่านี้ยังไม่เพียงพอที่จะชดเชยการลดลงอย่างหนักจากจีนและเกาหลีใต้

ภายใต้บริบทนี้ การเติบโตของรายได้ต่อห้องพัก (RevPAR) ในครึ่งปีหลัง 2568 คาดว่าจะขับเคลื่อนโดย “ปริมาณนักท่องเที่ยว” โดยพึ่งพาอัตราการเข้าพักที่แข็งแกร่งในช่วงเดือนพีค เช่น พ.ย. และ ธ.ค. ซึ่งได้รับแรงหนุนจากวันหยุดสิ้นปีและความต้องการจากกลุ่มไมซ์ (MICE: การประชุม เดินทางเพื่อเป็นรางวัล สัมมนา และแสดงสินค้า) 

อย่างไรก็ตาม แรงกดดันด้านค่าเฉลี่ยราคาห้องพักต่อคืน (ADR) มีแนวโน้มที่จะดำเนินต่อไป โดยเฉพาะในกลุ่มโรงแรมระดับกลาง ที่การแข่งขันจากผู้เล่นรายใหม่จะกดดันศักยภาพในการตั้งราคา ประสิทธิภาพของอัตราค่าห้องพักจะขึ้นอยู่กับคุณค่าของแบรนด์ กลยุทธ์การจัดจำหน่ายที่มีประสิทธิผล และทำเลที่โดดเด่นมากขึ้นเรื่อย ๆ

สำหรับกลุ่ม “โรงแรมหรู” คาดว่าจะยังคงมีเสถียรภาพมากกว่า โดยได้รับแรงหนุนจากความต้องการที่ยืดหยุ่นจากนักเดินทางระยะไกลและนักท่องเที่ยวรายได้สูงจากภูมิภาค แม้ว่าอัตราการเติบโตของราคาจะอยู่ในระดับจำกัด และมีการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นในกลุ่มโรงแรมระดับบน การได้เปรียบด้านราคาเมื่อเทียบกับศูนย์กลางในภูมิภาค เช่น สิงคโปร์ ฮ่องกง และโตเกียว อาจช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวที่ขับเคลื่อนด้วยประสบการณ์ ซึ่งมองหาความคุ้มค่าในราคาที่แข่งขันได้

 

อัตราเข้าพักโรงแรมกรุงเทพฯ ติดลบ

ด้านภาพรวมตลาดโรงแรมในกรุงเทพฯ ช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ภาคการท่องเที่ยวของ “กรุงเทพฯ” ยังคงฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง โดยมี “นักท่องเที่ยวต่างชาติ” ประมาณ 15.5 ล้านคน เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 0.6% แบบปีต่อปี (YTD) อย่างไรก็ตาม ปริมาณนักท่องเที่ยวยังคงต่ำกว่าระดับสูงสุดเมื่อปี 2562 อยู่ 11.3% สะท้อนถึงผลกระทบที่ยังคงอยู่จากรูปแบบการท่องเที่ยวที่เปลี่ยนไป

“ตลาดโรงแรมกรุงเทพฯ เปลี่ยนแปลงในทิศทางการฟื้นตัวในครึ่งแรกของปี 2568 อัตราการเข้าพักเฉลี่ยลดลงเหลือ 75.1% หรือลดลง 3.7 จุดจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เดือน ม.ค. และ ก.พ. มีผลการดำเนินงานที่ค่อนข้างดี โดยมีอัตราการเข้าพักเกินกว่า 81% แต่ในเดือนต่อ ๆ มา อัตราการเข้าพักลดลงอย่างต่อเนื่อง จนถึงเดือน มิ.ย.ซึ่งอยู่ที่ 69.8% ถือเป็นระดับที่ต่ำที่สุดในรอบกว่า 1 ปี แนวโน้มที่อ่อนตัวนี้สะท้อนถึงผลกระทบจากการเพิ่มขึ้นของจำนวนห้องพัก ระยะเวลาการเข้าพักที่สั้นลง และการพึ่งพาตลาดระยะใกล้ที่มีศักยภาพด้านผลตอบแทนต่ำกว่า”

สำหรับค่าเฉลี่ยราคาห้องพักต่อคืน (ADR) เพิ่มขึ้น 3.3% ปีต่อปี อยู่ที่ 4,260 บาทในครึ่งแรกปี 2568 เทียบกับ 4,121 บาทในช่วงเดียวกันของปี 2567 โดย ADR สูงสุดอยู่ในเดือน ม.ค. ขณะที่ต่ำสุดอยู่ในเดือน พ.ค.และ มิ.ย. หลายเดือนในช่วงกลางปีมีการเปลี่ยนแปลงเท่ากับหรือแย่กว่าปีต่อปี การเติบโตที่ค่อนข้างจำกัดของ ADR รวมกับการลดลงของอัตราการเข้าพัก กดดันรายได้ต่อห้องพัก (RevPAR) โดยเฉพาะในไตรมาส 2

 

จีน-มาเลเซีย ตลาดใหญ่ช่วง 8 เดือน 

ด้านอุปทาน มี “โรงแรมใหม่” เปิดให้บริการ 7 แห่งในครึ่งแรกของปี 2568 รวม 1,906 ห้อง โดยโรงแรมที่โดดเด่น ได้แก่ แกรนด์เซ็นเตอร์พอยต์ ลุมพินี (512 ห้อง) และโฟร์พอยท์ บาย เชอราตัน (333 ห้อง) การเปิดตัวครอบคลุมทุกกลุ่ม ตั้งแต่โรงแรมหรู เช่น อมัน นายเลิศ และแกรนด์เซ็นเตอร์พอยต์ ไปจนถึงกลุ่มระดับกลางถึงบน เช่น ควีนส์แลนด์ โฮเทล และเดอะควอเตอร์ นอกจากนี้ยังมีโรงแรมอีก 12 แห่ง รวม 3,283 ห้อง ที่มีกำหนดเปิดในครึ่งหลังของปี 2568 สะท้อนถึงการเติบโตของโครงการใหม่อย่างต่อเนื่องและการแข่งขันที่รุนแรงยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ โรงแรมใหม่หลายแห่งตั้งอยู่ในย่านเมืองที่เกิดใหม่หรือได้รับการพัฒนาใหม่ ส่งผลให้ตลาดโรงแรมในกรุงเทพฯ มีการกระจายตัวมากขึ้น แบรนด์ในประเทศ เช่น เดอะควอเตอร์ และควีนส์แลนด์ ยังคงขยายตัวเชิงรุกในกลุ่มระดับกลางถึงบน ขณะที่เชนโรงแรมนานาชาติ เช่น เรดิสัน และโฟร์พอยท์ เพิ่มการลงทุนในตลาด สะท้อนถึงความเชื่อมั่นต่อศักยภาพในระยะยาวของกรุงเทพฯ

 

สถิติต่างชาติเที่ยวไทย 8 เดือนแรก 21.8 ล้านคน ติดลบ 7%

ล่าสุด กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา รายงานถึงสถานการณ์ “นักท่องเที่ยวต่างชาติ” ล่าสุด เดินทางเข้าประเทศไทยในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2568 ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-31 ส.ค. มีจำนวนสะสม 21,879,476 คน ลดลง 7.16% เทียบช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว สร้างรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ 1,014,303 ล้านบาท ลดลง 5.4%

สำหรับ “10 อันดับแรก” ของตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทยสูงสุด ได้แก่ 1.จีน จำนวน 3,096,017 คน 2.มาเลเซีย 3,049,961 คน 3.อินเดีย 1,563,806 คน 4.รัสเซีย 1,195,430 คน 5.เกาหลีใต้ 1,036,361 คน 6.ญี่ปุ่น 712,158 คน 7.สหราชอาณาจักร 708,929 คน 8.สหรัฐ 692,212 คน 9.ไต้หวัน 672,067 คน และ 10.ลาว 630,051 คน