เอกชนกระทุ้งรัฐหนุนมาตรการจูงใจ ‘ชอปปิง-เวลเนส’ เจาะตลาดคุณภาพปั๊มรายได้ท่องเที่ยวไทย

เอกชนกระทุ้งรัฐหนุนมาตรการจูงใจ ‘ชอปปิง-เวลเนส’  เจาะตลาดคุณภาพปั๊มรายได้ท่องเที่ยวไทย

ภาคเอกชนเสนอให้ภาครัฐออกมาตรการกระตุ้นภาคการท่องเที่ยวเพื่อเจาะตลาดคุณภาพ ใช้จ่ายสูง ผ่านโมเดลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นมาตรการอำนวยความสะดวกแก่ทัวริสต์ต่างชาติ ขอคืนแวต (Tax Refund) ได้โดยตรงที่ร้านค้าเหมือนในประเทศญี่ปุ่น หรือการขับเคลื่อน “การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ” ของไทยอย่างจริงจังก้าวสู่ TOP 5 “ท่องเที่ยวเชิงสุขภาพโลก” ล้วนเป็นฟันเฟืองสำคัญผลักดันรายได้รวมการท่องเที่ยวของประเทศไทยไปให้ถึงเป้าหมาย 3 ล้านล้านบาทในปี 2568

หนุนการเติบโตของจีดีพีต่อเนื่องและยั่งยืน ด้วยการตอบโจทย์เน้นรายได้มากกว่าพึ่งเชิงปริมาณ ท่ามกลางการแข่งขันของประเทศต่างๆ ที่ออกมาตรการกระตุ้นเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวทั่วโลกเข้าไปจับจ่าย สร้างรายได้หมุนเวียนภายในประเทศ

ดร.ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา กรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด บริษัท เซ็นทรัลพัฒนาจำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ภาพลักษณ์การเป็นชอปปิง เดสติเนชัน (Shopping Destination) ของประเทศไทยในปัจจุบันถือว่าขึ้นชื่อและสามารถแข่งขันกับฮ่องกงและสิงคโปร์ได้ เพราะราคาสินค้าและการจัดโปรโมชันแทบไม่ต่างกัน แต่ในประเทศไทยนั้นมีจุดขายเรื่องความหลากหลายของสินค้า ทั้งแฟชั่น อาหาร งานคราฟต์ต่างๆ และมีความคุ้มค่าเงิน (Value for Money) เข้ากับเทรนด์การจับจ่ายของโลก หรือแม้แต่สินค้าแบรนด์เนมในประเทศไทยก็ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ มียอดการจับจ่ายมากกว่าในสิงคโปร์แล้ว

“ทั้งนี้มีข้อเสนอเกี่ยวกับการผลักดันให้ประเทศไทยเป็นชอปปิง เดสติเนชัน อย่างสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น ว่าควรอำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยวต่างชาติสามารถขอคืน VAT (ภาษีมูลค่าเพิ่ม)ได้ที่ร้านค้าโดยตรงเหมือนโมเดลของประเทศญี่ปุ่น เพราะปัจจุบันในไทยยังต้องยื่นขอคืน VAT ที่สนามบินอย่างเดียว”

ท่องเที่ยวฯ เผยแนวคิดตั้งจุดแท็กซ์รีฟันด์ในเมือง

ก่อนหน้านี้ นายจักรพล ตั้งสุทธิธรรม ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า จากความกังวลเรื่องประเทศไทยอาจสูญเสียตำแหน่งผู้นำด้านชอปปิง เดสติเนชันหลังจากหลายประเทศต่างหันมาอำนวยความสะดวกเกี่ยวกับการคืน VAT แก่นักท่องเที่ยวต่างชาติ อาทิ ญี่ปุ่น ที่มีจุดขายเรื่องการยกเว้นเก็บ VAT จากร้านค้าโดยตรง และมีจุดบริการให้ยื่นขอคืนภาษี (Tax Refund) ตามศูนย์การค้าต่างๆ 

ขณะที่จีนได้ออกนโยบายอำนวยความสะดวกเรื่องการคืน VAT 13% ทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติสนใจเปลี่ยนไปเที่ยวและชอปปิงในประเทศเหล่านี้แทนประเทศไทย ซึ่งถูกมองว่ามีขั้นตอนมากเกินไป เกิดความล่าช้าในการขอคืน VAT

กระทรวงการท่องเที่ยวฯ มองว่าจำเป็นต้องสร้างความเข้าใจ หารือร่วมกันทั้งภาครัฐและเอกชนเพื่อทำให้ขั้นตอนง่ายขึ้น เอื้อกับการท่องเที่ยวและชอปปิง โดยมีแนวคิดขอหารือกับกระทรวงการคลังเพิ่มเติมเพื่อดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรม นำร่องตั้งจุด Tax Refund ภายในศูนย์การค้าช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ เลือกที่กรุงเทพฯ ก่อน เนื่องจากเคยตั้งจุด Tax Refund ไปแล้วก่อนหน้านี้ที่ศูนย์การค้าขนาดใหญ่บางแห่ง แต่ต้องปิดไปช่วงโควิด-19 ระบาด

“ที่ผ่านมามีเสียงเรียกร้องจากภาคเอกชนเกี่ยวกับการตั้งจุด Tax Refund เพิ่มเติม จึงต้องเร่งขับเคลื่อนเพื่อตอบโจทย์ความต้องการ และสร้างรายได้จากการจับจ่ายใช้สอยของนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น”

ดันไทยติด TOP 5 ท่องเที่ยวเชิงสุขภาพโลก

นายแพทย์ตนุพล วิรุฬหการุญ ประธานคณะผู้บริหาร บีดีเอ็มเอส เวลเนส คลินิก และบีดีเอ็มเอส เวลเนส รีสอร์ท บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการจำกัด (มหาชน) หรือ BDMS กล่าวว่า จากรายงานของ Global Wellness Institute (GWI) องค์กรไม่แสวงผลกำไรที่ศึกษาและวิจัยด้านสุขภาพเชิงป้องกันและอุตสาหกรรมเวลเนสทั่วโลก เผยข้อมูลด้านการเติบโตของอุตสาหกรรมเวลเนสล่าสุดว่า ในปี 2566 ธุรกิจเกี่ยวกับสุขภาพมีมูลค่าสูงถึง 6.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าในปี 2571 จะมีมูลค่าสูงขึ้นเป็น 9 ล้านล้านดอลลาร์ หรือเติบโตเฉลี่ยปีละ 7.3% สูงกว่าจีดีพีโลกซึ่งอยู่ที่ 4.8% สะท้อนให้เห็นว่าผู้บริโภคให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาพมากขึ้น จนทำให้ผู้ประกอบการตอบรับเทรนด์ด้านธุรกิจสุขภาพอย่างรวดเร็ว

นอกจากนี้ แนวโน้มการเติบโตของแต่ละเซ็กเมนต์ของอุตสาหกรรมเวลเนส พบว่า 3 อันดับแรกที่มีอัตราการเติบโตสูงสุดอันดับ 1 อสังหาริมทรัพย์เพื่อสุขภาพ(Wellness Real Estate) เติบโต 15% ต่อปีอันดับ 2 คือการดูแลสุขภาพจิต(Mental Health) เติบโต 12% ต่อปี และอันดับ 3 การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness Tourism) เติบโต 10.2% ต่อปี

“ในปี 2566 ประเทศไทยมีจำนวนนักท่องเที่ยวเชิงสุขภาพจำนวน 13.5 ล้านคน มากเป็นอันดับ 15 ของโลก คาดว่าในปี 2568 จะแซงปี 2562 ก่อนโควิดระบาด ซึ่งมีจำนวน 15 ล้านคน มากเป็นอันดับ 7 ของโลก โดยกลุ่มบีดีเอ็มเอสต้องการเป็นส่วนหนึ่งร่วมผลักดันให้การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพให้เป็นอาวุธใหม่ของประเทศไทยก้าวสู่ 5 อันดับแรกของโลก จากปัจจุบันมีสหรัฐ เยอรมนี จีน ฝรั่งเศส และญี่ปุ่น ติดโผ 5 อันดับแรกตามลำดับ”

เอกชนกระทุ้งรัฐหนุนมาตรการจูงใจ ‘ชอปปิง-เวลเนส’  เจาะตลาดคุณภาพปั๊มรายได้ท่องเที่ยวไทย

 

ททท. รุก 4 ตลาดนิชมาร์เก็ตใช้จ่ายพุ่ง

รายงานจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ระบุว่า ภารกิจหลักของททท.ในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมท่องเที่ยวคือการรุกตลาดศักยภาพโดยจากแผนการพัฒนาสินค้าด้านการท่องเที่ยวในปี 2568 ของ ททท. มุ่งขยายฐานกลุ่มนักท่องเที่ยวให้ความสนใจเฉพาะ หรือ นิชมาร์เก็ต (Niche Market) โฟกัส 4 กลุ่มความสนใจ ได้แก่ ลักชัวรี, เวลเนส, สปอร์ต ทัวริสซึ่ม และโรมานซ์ เพราะแม้จะมีจำนวนน้อย แต่กำลังการใช้จ่ายสูง

ข้อมูลจาก alliedmarketresearch คาดว่าตลาดนิชมาร์เก็ตจะเติบโตถึง 3.9 แสนล้านบาทในปี 2570 เป้าหมายหลักอยู่ในกลุ่มคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มมิลเลนเนียลส์ ที่มีฐานะปานกลางถึงสูงในประเทศแถบเอเชีย เช่น จีน มาเลเซีย ฮ่องกง และอินเดีย จากการเติบโตทางเศรษฐกิจในเอเชีย โดยเฉพาะจีนและอินเดีย

สำหรับการท่องเที่ยวแบบลักชัวรีในประเทศไทยได้รับความสนใจและเติบโตต่อเนื่อง ข้อมูลจากอิปซอสส์ (Ipsos) บริษัทวิจัยตลาดระดับโลก ระบุว่าในปี 2566 การท่องเที่ยวแบบลักชัวรีในไทยมีมูลค่าตลาดประมาณ 60,000-70,000 ล้านบาท ด้าน ททท.คาดว่าในปี 2567 จะเติบโตต่อเนื่อง 8-10% ต่อปี หรือคิดเป็นมูลค่าราว 66,000-77,000  ล้านบาท อ้างอิงจากการฟื้นตัวของตลาดและความนิยมในการเดินทางของกลุ่มนักท่องเที่ยวระดับสูงจากต่างประเทศ มุ่งเจาะตลาดหลักๆอย่างจีนสหรัฐและตะวันออกกลางด้วยสินค้าทางการท่องเที่ยวที่ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมาย