EVEANDBOY ฝ่าสมรภูมิบิวตี้สโตร์เดือด เสิร์ฟลูกค้าเร็วสุดได้เปรียบ

EVEANDBOY ฝ่าสมรภูมิบิวตี้สโตร์เดือด เสิร์ฟลูกค้าเร็วสุดได้เปรียบ

ธุรกิจบิวตี้โตแรง สวนเศรษฐกิจซึม EVEANDBOY (อีฟแอนด์บอย) ชี้เทรนด์ ลูกค้าเบื่อง่าย-ใช้สินค้าซับซ้อน เป็นกลไกเคลื่อนตลาดโตอีกมาก ย้ำ ไทยเล็กกว่าเกาหลี-ญี่ปุ่น 4 เท่า

KEY

POINTS

  • บิวตี้สโตร์ "EVEANDBOY" ชี้เทรนด์คนไทยใช้เครื่องสำอางซับซ้อนขึ้น เป็นกลไกสำคัญทำให้ตลาดบิวตี้ 2.8 แสนล้านบาทขยายตัวสูงสวนกระแสเศรษฐกิจ
  • ตลาดความงามไทยเล็กกว่าประเทศเกาหลีและญี่ปุ่น 4 เท่า นับเป็นตลาดศักยภาพ มีโอกาสเติบโตได้อีกมาก รับแนวโน้มผู้คนดูแลสุขภาพและความงามมากขึ้น
  • "EVEANDBOY" เร่งปูพรมเปิดครบ 70 สาขาในสิ้นปี 2568 ตั้งเป้า 140 สาขาในปี 2571 ชูกลยุทธ์เสิร์ฟลูกค้าเร็วสุดได้เปรียบ
  • เคลื่อนธุรกิจมุ่งสู่ทศวรรษที่ 3 ดันแบรนด์ "EVEANDBOY-Top of Mind" ที่ลูกค้าต้องนึกถึงเป็นอันดับแรก

“บิวตี้เลิฟเวอร์” นาทีนี้ น้อยคนไม่รู้จัก “EVEANDBOY” (อีฟแอนด์บอย) มัลติบิวตี้สโตร์ที่รวบรวมบิวตี้ไอเทมทั่วโลก ตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าได้อย่างครบถ้วน

“EVEANDBOY” ร้านของพี่สาว (อีฟ) และน้องชาย (บอย) ฝ่าคลื่นลมและแรงกระแทกในสมรภูมิการแข่งขันตลาดความงาม มูลค่าเฉียด 3 แสนล้านบาท! สร้างการเติบโตแบบพุ่งทะยานต่อเนื่อง บนเส้นทางกว่า 20 ปี

จากร้านค้าปลีกเครื่องสำอางสาขาแรกที่มหาสารคาม ใช้พื้นที่ส่วนหนึ่งของ “สารคามซูเปอร์มาร์เก็ต” กิจการของครอบครัวแจ้งเกิดธุรกิจใหม่  ซึ่งเปิดได้ไม่นาน กระแสตอบรับไปได้ด้วยดี จึงตามมาด้วยสาขาที่ 2 ในจังหวัดขอนแก่น ก่อนตัดสินใจนำ "EVEANDBOY" ปักหมุดมหานครกรุงเทพ เมืองแห่งสีสัน และแฟชั่น โดยเลือกทำเลใจกลางเมืองย่าน “สยามสแควร์” สร้างชื่อ 

วันนี้  EVEANDBOY ก้าวสู่ “บิวตี้ เดสติเนชัน” จุดหมายปลายทางแห่งความงามเบอร์ต้นของเมืองไทย ด้วยเครือข่าย 45 สาขา ยอดขายระดับ 7,000 ล้านบาทในสิ้นปี 2567 ที่ผ่านมา เติบโตถึง 40% 

เรียกว่าสวนกระแสเศรษฐกิจชะลอตัวในทุกยุคทุกสมัย ไม่ใช่เพราะโชคช่วย หรือเพียงแค่สาวไทยรักสวยรักงามเท่านั้น แต่มีอีกหลายองค์ประกอบสำคัญถูกตีโจทย์เป็นกลยุทธ์ขับเคลื่อนธุรกิจ “EVEANDBOY” ที่แตกต่างจาก (คู่แข่ง) และตรงใจ (ลูกค้า) 

EVEANDBOY ฝ่าสมรภูมิบิวตี้สโตร์เดือด เสิร์ฟลูกค้าเร็วสุดได้เปรียบ

บอย-หิรัญ ตันมิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อีฟแอนด์บอย จำกัด กล่าวว่า เมกะเทรนด์ธุรกิจความงาม ทั้งสินค้า และลูกค้าเปลี่ยนเร็วมากขึ้น มีความภักดีต่อแบรนด์น้อยลง ลูกค้ารู้จริงมากขึ้น หัวจรดเท้าเลือกใช้แบรนด์หลากหลาย ไม่ผูกติดอยู่กับแบรนด์เดียว

ที่สำคัญ “คนไทยใช้เครื่องสำอางซับซ้อนขึ้น เป็นกลไกทำให้ตลาดโต บิวตี้เมืองไทยยังเล็กกว่าประเทศเกาหลี และญี่ปุ่นถึง 4 เท่า เป็นตลาดศักยภาพและมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก”

หิรัญ ขยายความต่อว่า พฤติกรรมลูกค้าเวลานี้ เปลี่ยนเร็ว และเบื่อง่ายขึ้น  ทุก 3 เดือนต้องเปลี่ยน ฉะนั้นแบรนด์ต้องไว รวมทั้ง “EVEANDBOY” ก็ต้องเร็วในการตอบสนองลูกค้า

“ใครตอบโจทย์ลูกค้าได้เร็วสุดได้เปรียบ ดังนั้นทีมงานต้องเร็วมากๆ ในการหาแบรนด์มาเสิร์ฟลูกค้า ธุรกิจต้องปรับตัว ปรับแผนตลอดเวลา หน้าที่เราในฐานะรีเทลเลอร์ ทำอย่างไรให้เร็วที่สุด ในการเสิร์ฟสินค้าที่ต้องมาจากความเข้าใจลูกค้าจริงๆ ด้วย" 

นั่นคือหัวใจสำคัญสร้างการเติบโตให้ธุรกิจ ท่ามกลางความผันผวนของภาวะเศรษฐกิจ สังคม หรือปัจจัยลบต่างๆ ในตลาด รวมทั้งพฤติกรรมผู้บริโภคที่พร้อมเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

“เราเป็นธุรกิจที่มีความเฉพาะตัว มีไลฟ์สไตล์เข้ามาเกี่ยวข้อง มีอีโมชันนอลค่อนข้างมาก บางแบรนด์เติบโตเป็น 100% สินค้าขายดียังคงเป็นน้ำหอมขวดละ 7,000 บาท" 

หิรัญ ยังชวนคิดด้วยว่า...การอยู่รอดของสินค้าหรือธุรกิจ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสภาพเศรษฐกิจเท่านั้น แต่เป็นเพราะ Value มูลค่าและคุณค่าที่ได้รับนั่นเอง 

“EVEANDBOY” มีสินค้าให้บริการตั้งแต่ราคา 9 บาท ไปจนถึงหลักหมื่นบาท มีวาไรตี้ให้เลือกซื้อ ด้วย “ราคาดีสุด” แบบไม่ต้องเทียบ หากชอบ ถูกใจ ก็ซื้อได้เลย ยังไม่นับรวม “Exclusive Brand” อาวุธหนัก ที่สร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง รวมทั้งการันตีสินค้าแท้ 100% เป็นจุดขายท่ามกลางเครื่องสำอางปลอมระบาด

การนำเข้า "Exclusive Brand" ที่กำลังเป็นกระแสบนโซเชียลมีเดียเป็นเจ้าแรก และเจ้าเดียว วางจำหน่ายจุดแข็งของ EVEANDBOY อาทิ International Brand อย่าง “Kylie Cosmetics” ซึ่งได้ต่อสัญญาในฐานะ Exclusive Brand ต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังมีแบรนด์ Lilybyred, Tirtir, Cancer Council ทำให้ EVEANDBOY เป็นจุดหมายปลายทางของลูกค้าเมื่อนึกถึงสินค้าในกระแส 

หากมองภาพรวมตลาดความงาม ประเทศไทยเติบโตสูงอย่างต่อเนื่อง โดยสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า ระบุว่า ปี 2567  มีมูลค่าสูง 2.81 แสนล้านบาท ขยายตัว 10.4% จากปีก่อนหน้า ด้วยปัจจัยเกื้อหนุนทั้งช่องทางการขายผ่านอีคอมเมิร์ซเติบโตแรง รวมถึงความนิยมของเครื่องสำอางแบรนด์ไทย โดยเฉพาะกลุ่มสินค้า SMEs  

แน่นอนว่า เป็นแรงส่ง ปี 2568 นับเป็นปีที่ดีสำหรับธุรกิจความงาม โดยมีอีกหนึ่งดัชนีชี้วัด นั่นคือ แบรนด์ไทยระดับพันล้านมีมากขึ้น และแข็งแรงขึ้น ทั้งคุณภาพสินค้า จากการเข้าถึงลูกค้าผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย

EVEANDBOY ฝ่าสมรภูมิบิวตี้สโตร์เดือด เสิร์ฟลูกค้าเร็วสุดได้เปรียบ

EVEANDBOY ในปี 2568 คาดการณ์ยอดขายเติบโตไม่น้อยกว่า 30% จากปีก่อนเติบโตสูง 40% เกินจากเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยกลุ่มเครื่องสำอาง (MAKEUP) โตมากถึง 45% ตามมาด้วยกลุ่มผลิตภัณฑ์บำรุงผิว (SKINCARE) 40% กลุ่มน้ำหอม (FRAGRANCE) 35%

ขณะที่แบรนด์ไทยเพิ่มขึ้น 20% โดยไตรมาสแรกที่ผ่านมา เติบโตตามเป้าที่ 30% จากการขยายสาขา เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ และการปรับกลยุทธ์สาขาเดิม เพื่อผลักดันการเติบโต

โดยปีนี้ EVEANDBOY ทุ่มงบกว่า 600 ล้านบาทปูพรมขยายสาขาใหม่ 25 แห่ง จากปีก่อนเปิด 18 แห่ง ปิดสิ้นปีคาดว่าจะมีเครือข่ายสาขาให้บริการไม่ต่ำกว่า 70 แห่ง และเพิ่มเท่าตัวเป็น 140 สาขาภายในปี 2571 เน้นจังหวัดที่ยังไม่มี  EVEANDBOY ให้บริการ ในขนาดร้าน 300-500 ตร.ม. ไม่เน้นไซส์เล็ก 

EVEANDBOY ฝ่าสมรภูมิบิวตี้สโตร์เดือด เสิร์ฟลูกค้าเร็วสุดได้เปรียบ

"การขยายสาขา ยังเป็นยุทธศาสตร์สำคัญของมัลติบิวตี้สโตร์ ลูกค้ายังต้องการมาลองสินค้า แน่นอนว่า AI ช่วยเรื่องเท็กเจอร์ไม่ได้ การหาสินค้าให้แมทซ์กับสีผิว เนื้อผิว แต่ละคนไม่เหมือนกัน เฉดสี มีความเฉพาะมากๆ น้ำหอมกลิ่นเดียวกัน ฉีดคนละคนก็คนละกลิ่น ฉะนั้น ฟิซิเคิลสโตร์จึงจำเป็นมากๆ สำหรับบิวตี้สโตร์"

ทั้งนี้โลเกชันที่เลือกเปิด ต้องมีศักยภาพ เป็น “Strategic Location” รวมถึงเจาะกลุ่มไปที่นักท่องเที่ยวต่างชาติ อาทิ เอ็มสเฟียร์ เทอมินัล 21 อโศก สยามพรีเมียม เอาท์เล็ต ทั้งยังมีการขยายไปยังพื้นที่ต่างจังหวัด 

ส่วนตลาดต่างประเทศ ยังอยู่ในแนวทางศึกษา แต่ไทยยังมีโอกาสมาก เทียบดรักส์สโตร์ในไทย มีเป็นพันสาขา ขณะที่บิวตี้สโตร์ มีเพียงหลักร้อย

อีกกลยุทธ์ของ EVEANDBOY นั่นคือ “Award Marketing” สร้างการรับรู้ตอกย้ำภาพจำบิวตี้สโตร์อันดับ 1 ของไทย และ Beauty Trend Setter สร้างความเชื่อมั่นให้โปรดักต์และแบรนด์คู่ค้าผ่านงานประจำปี "EVEANDBOY BEST SELLING AWARDS2024" ปีนี้มาในคอนเซปต์ “THE TIMELESS ELEGRANCE” กับผลิตภัณฑ์ความงามที่สร้างปรากฏการณ์ยอดขายสูงสุดแห่งปีของเมืองไทย จัดต่อเนื่องปีที่ 5 นับเป็นเครื่องหมายการันตีให้กับแบรนด์ที่ได้รับความนิยม มียอดขายสูงสุด 

รางวัลปีนี้แบ่งเป็น 6 ประเภท ได้แก่ น้ำหอม (FRAGRANCE) เครื่องสำอาง (MAKEUP) ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว (SKINCARE) ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวกาย (PERSONAL CARE & BODY) ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมและอุปกรณ์ (HAIR & ACCESSORIES)และผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเสริม (SUPPLEMENT) 

“ปีที่ผ่านมาตลาดบิวตี้คึกคักมาก มีสินค้าออกใหม่หลากหลายโดยเฉพาะกลุ่มเครื่องสำอาง ทำให้ลูกค้าชอปสนุกมากขึ้น มีตัวเลือกมากขึ้น และการสื่อสารบนโซเชียลมีเดีย ทำให้เข้าถึงลูกค้าได้ง่ายและรวดเร็ว ซึ่งกลุ่มนักเรียน นักศึกษา พนักงานออฟฟิศ เป็นลูกค้าหลักของเราที่เติบโตสูง มีอัตราซื้อซ้ำ มีลอยัลตี้เหนียวแน่น เข้ามาชอปปิงที่ร้านสม่ำเสมอ ซึ่ง EVEANDBOY วางกลยุทธ์ที่ทำให้ลูกค้านึกถึงเราเป็นที่แรก เมื่อมีสินค้าออกใหม่ หรือต้องการอัปเดตเทรนด์สินค้าใหม่ๆ เป็นหัวใจในการทำการตลาดมาโดยตลอด”

ที่น่าสนใจในปี 2568 นี้ มีแบรนด์ไทยได้รับรางวัลมากขึ้น สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพการเติบโตของแบรนด์ไทยในฐานะ Rising Star จำนวนมาก จาก 20 ปีก่อนแทบไม่มีแบรนด์ไทย เป็นเพราะปัจจุบันคนไทยหันมาใช้แบรนด์ไทยมากขึ้น สนุกกับการทดลองใช้โปรดักต์ที่มีในตลาด โดยไม่ได้มีข้อจำกัดเรื่องยี่ห้อ แต่ยังคงให้ความสำคัญกับคุณภาพสินค้า เห็นได้ชัดว่า ปีนี้ตลาดบิวตี้ในไทย มีความคึกคักมากกว่าปีก่อนๆ

พร้อมกันนี้ ได้เปิดตัวลอยัลตี้โปรแกรมรูปแบบใหม่ภายใต้ชื่อ "Ebbie Card" (เอบบี การ์ด) เพื่อรักษาฐานลูกค้าเก่าอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้เกิดความ “คุ้มค่า” ในการซื้อสินค้าตลอดอายุสมาชิก

โดย Ebbie Card มีสิทธิพิเศษ อาทิ ส่วนลดพิเศษ ดีลพิเศษเฉพาะสมาชิก กิ๊ฟเซ็ตสำหรับเดือนเกิด สิทธิ์ในการซื้อสินค้าออกใหม่ก่อนลูกค้าทั่วไป สิทธิ์เข้าร่วมในกิจกรรม หรืออีเวนต์เอ็กซ์คลูซีฟ ปัจจุบันมีฐานสมาชิก 2.7 ล้านราย ตั้งเป้าเพิ่ม 40%

ภารกิจและความท้าทายสู่ทศวรรษที่ 3 “บอย-หิรัญ” ยังคงเข้มข้นในการทำให้ "EVEANDBOY" เป็นแบรนด์ Top of Mind ที่ลูกค้าต้องนึกถึงเราเป็นอันดับแรก