เอกชนท่องเที่ยวหวั่น ‘สงครามอิหร่าน’ ยืดเยื้อ ฉุดทัวริสต์ ‘ตะวันออกกลาง’ เข้าไทยร่วง 20%

สถานการณ์ความขัดแย้งในภูมิภาค “ตะวันออกกลาง” ทวีความตึงเครียด หลังกองทัพสหรัฐโจมตีโรงงานวิจัยนิวเคลียร์ 3 แห่งในอิหร่านเมื่อวันที่ 21 มิ.ย.68 ล่าสุดอิหร่านเตือนสหรัฐเตรียมรับการตอบโต้ เกิดความวิตกกังวลในระดับภูมิภาคกว้างขวาง ทั้งประชาชนในพื้นที่ และนักท่องเที่ยวต่างชาติบางส่วนวิตกความปลอดภัยในการเดินทาง
เทียนประสิทธิ์ ไชยภัทรานันท์ นายกสมาคมโรงแรมไทย (THA) กล่าวว่า สมาคมฯ คาดการณ์เบื้องต้นช่วงเกิดเหตุความขัดแย้งจะส่งผลกระทบต่อตลาดนักท่องเที่ยวตะวันออกกลาง สหรัฐ และยุโรป ซึ่งเป็น “ตลาดความหวัง” ของภาคท่องเที่ยวไทยปีนี้ อาจหายไปราว 10% จากจำนวนนักท่องเที่ยวที่ควรได้ หรือกรณีเลวร้าย (Worst Case) อาจหายไปถึง 20% หากตลาดนักท่องเที่ยวตะวันออกกลางได้รับผลกระทบหนัก เนื่องจาก 3 เดือนข้างหน้า (มิ.ย.- ส.ค.) เป็น “ไฮซีซัน” ของตลาดนักท่องเที่ยวตะวันออกกลางนิยมมาเที่ยวหน้าฝนในไทย
ขณะที่ตลาดสหรัฐได้รับผลกระทบจาก “ภาษีทรัมป์” สะเทือนกำลังซื้อ ต้นทุนค่าครองชีพสูงขึ้น ชาวสหรัฐอาจไม่กล้าออกนอกประเทศ ส่วนตลาดยุโรป แม้ไม่ได้ถูกโยงกับสงครามนี้โดยตรง แต่ปัจจุบันอยู่ในช่วงโลว์ซีซัน ชะลอการเดินทางเป็นปกติอยู่แล้ว
“ปัจจุบันเริ่มเห็นสัญญาณชะลอการจองห้องพักจากนักท่องเที่ยวตลาดตะวันออกกลาง สหรัฐ และยุโรปแล้ว ล่าสุดสมาคมฯ ได้ส่งแบบสำรวจถึงสมาชิกโรงแรมแล้ว คาดสรุปข้อมูลผลกระทบได้ภายในสัปดาห์นี้”
หวั่นสงคราม "อิหร่าน-อิสราเอล" สหรัฐร่วมวงยืดเยื้อ
ทั้งนี้ ต้องจับตาสถานการณ์ความขัดแย้งว่าจะยืดเยื้อหรือไม่ จากปกติแล้วพอความขัดแย้งสิ้นสุด คาดใช้เวลานาน 3 เดือนสถานการณ์ท่องเที่ยวถึงจะฟื้นกลับมาเป็นปกติ แต่พอสหรัฐเข้ามาโจมตีอิหร่านด้วย จึงไม่แน่ใจแล้วว่าสงครามจะยืดเยื้อแค่ไหน และจะขยายวงกว้างไปอีกหรือไม่
อานิสงส์ "ทัวริสต์กึ่งหนีภัยสงคราม"
อย่างไรก็ตาม พฤติกรรมการเดินทางของนักท่องเที่ยวตะวันออกกลาง และสหรัฐ อาจตัดสินใจเปลี่ยนมาเที่ยวไทย และพำนักนานขึ้นก็เป็นได้เช่นกัน คล้ายๆ กับมาเที่ยวพักผ่อนด้วย “กึ่งหนีภัยสงครามด้วย” เหมือนกับตลาดรัสเซียที่เดินทางเข้าไทยจำนวนมาก ซึ่งประเทศไทยเองต้องเร่งยกระดับ “ภาพลักษณ์ความปลอดภัย” ให้นักท่องเที่ยวเชื่อมั่นยิ่งขึ้น
น้ำมันแพง - ตั๋วบินพุ่ง - โรงแรมปรับขึ้นราคายาก
“พอความขัดแย้งระหว่างอิหร่านกับอิสราเอลลุกลาม ทำให้อิหร่านประกาศปิดช่องแคบฮอร์มุซเป็นการตอบโต้ ส่งผลให้ราคาน้ำมันแพงขึ้น ในมุมธุรกิจโรงแรมย่อมได้รับผลกระทบต่อค่าไฟแพงขึ้นตามมา นักท่องเที่ยวเองก็ได้รับผลกระทบจากค่าตั๋วเครื่องบินแพงขึ้น โรงแรมเองก็ปรับราคาห้องพักเพิ่มไม่ได้มาก ต้องยอมกัดฟันสู้ในภาวะต้นทุนสูงขึ้น ปรับตัวเน้นคุมต้นทุน ผมเองได้มีโอกาสสอบถามผู้ประกอบการโรงแรม และผู้บริหารเชนโรงแรมบางรายบอกว่าเจอสถานการณ์นี้เข้าไปแล้วเหนื่อยเหมือนกัน ก็ต้องรอความหวัง ขอให้ความขัดแย้งจบเร็ว เพื่อให้เดือนต.ค. เข้าหน้าไฮซีซันสามารถกลับมารับนักท่องเที่ยวตลาดระยะไกล ทั้งสหรัฐ ยุโรป และตะวันออกกลางได้อย่างเต็มที่” นายก ทีเอชเอ กล่าว
เทียนประสิทธิ์ ไชยภัทรานันท์
นักท่องเที่ยวกลุ่มอ่าวอาหรับเริ่มลังเล ชะลอเดินทางออกนอกภูมิภาค
จิระวดี คุณทรัพย์ รองผู้ว่าการด้านตลาดยุโรป อเมริกา ตะวันออกกลาง และแอฟริกา การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า จากกรณีความขัดแย้ง “อิหร่าน-อิสราเอล” ททท.ประเมินสถานการณ์ความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวในกลุ่มประเทศคณะมนตรีความร่วมมือแห่งรัฐอ่าวอาหรับ หรือ “GCC” ว่าอาจได้รับผลกระทบโดยตรง ถึงแม้ยังไม่พบการยกเลิกการเดินทางมายังประเทศไทยโดยตรง แต่พฤติกรรมนักท่องเที่ยว “เริ่มมีความลังเล” โดยเฉพาะกลุ่มครอบครัว และนักท่องเที่ยวทั่วไปที่พิจารณาเลื่อนหรือชะลอแผนการเดินทางออกนอกภูมิภาค หลังจากหลายสายการบินได้ระงับเที่ยวบินผ่านน่านฟ้าอิหร่าน-จอร์แดน-เลบานอน-อิรัก-ซีเรีย-อิสราเอล ชั่วคราว และปรับเส้นทางบินเพื่อความปลอดภัย
“จากพฤติกรรมผู้บริโภค และแนวโน้มการเดินทาง พบว่านักท่องเที่ยวกลุ่ม GCC โดยเฉพาะกลุ่มครอบครัว และผู้หญิง เดินทางแบบระมัดระวังมากขึ้น ส่วนกลุ่มไฮเอนด์ เช่น ตลาดเวลเนส ฮันนีมูน และเจนเอ็กซ์ ยังมีความเชื่อมั่นในประเทศไทย แต่พฤติกรรมการจองเริ่มเปลี่ยนเป็น ‘รอดูสถานการณ์’ โดยเลือกจองแบบมีเงื่อนไขเลื่อนหรือคืนเงินได้”
จิระวดี คุณทรัพย์
อัดแคมเปญเชิงรุก บูสต์ตลาด "เที่ยวบินตรง"
ทั้งนี้ ตนได้สั่งการให้สำนักงาน ททท.ที่ดูแล “ตลาดระยะไกล” (Long Haul) ติดตามสถานการณ์ และบรรยากาศ (Sentiment) เรื่องความมั่นใจในการเดินทางของนักท่องเที่ยวระยะไกล หากความขัดแย้งอิสราเอล-อิหร่าน ยืดเยื้อ และรุนแรง หากกลุ่มประเทศ GCC ถูกประกาศใน “Travel Advisory” คือ กลุ่มประเทศที่ให้หลีกเลี่ยง จะส่งผลโดยตรงกับตลาดระยะไกลหรือไม่ เพราะประเทศไทยมีนักท่องเที่ยวที่นิยม “แวะต่อเครื่องบิน” (Connecting Flight) จากสายการบินเอมิเรตส์ กาตาร์แอร์เวย์ส และเอทิฮัด
“สถานการณ์ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นจากมาตรการบางอย่างของคู่สงคราม ซึ่งส่งผลกระทบต่อราคาบัตรโดยสารเครื่องบิน ส่งผลให้ตลาดนักท่องเที่ยวระยะไกลอาจจะได้รับผลกระทบ โดยยอดการจองเดินทาง (Booking) ในช่วงฤดูหนาวอาจจะเข้ามาช้าลง เนื่องจากนักท่องเที่ยวระยะไกลขอรอดูสถานการณ์ (Wait & See) ก่อน ทำให้ยอดจองการเดินทางช่วงฤดูหนาวที่กำลังไหลเข้ามานั้นอาจจะชะลอตัว”
ขณะเดียวกัน ได้มอบหมายให้สำนักงาน ททท. ตลาดระยะไกล จัดเตรียมแคมเปญโปรโมตการเดินทางไว้ เพื่อเพิ่มอัตราเร่งการจอง และการเดินทาง โดยมีทั้งแคมเปญ “Book Now Travel Now” เพื่อกระตุ้นการเดินทางแบบทันที และแคมเปญแบบยืดหยุ่น “Book Now Travel Later” จองก่อนเที่ยวทีหลัง รวมถึงแคมเปญสื่อสารภาพลักษณ์ “Thailand: Safe Haven for Summer” และ “Peaceful Paradise in Asia” ควบคู่กับการแนะนำปลายทางใหม่ที่เงียบสงบ เช่น กระบี่ เชียงราย และเกาะสมุย สำหรับกลุ่มที่ต้องการหลีกหนีความวุ่นวาย
พร้อมปรับแคมเปญให้ความสำคัญกับ “เที่ยวบินตรง” (Direct flight) และดูปริมาณที่นั่งโดยสาร (Seat Capacity) และอัตราการขนส่งผู้โดยสาร (Load Factor) ว่าต่างกันเท่าไร โดยได้เร่งรัดให้ทุกตลาดเช็กข้อมูลเพื่อทำ “แคมเปญเชิงรุก” กับสายการบินที่ให้บริการบินตรงเข้าไทย ซึ่งกรณีนี้อาจต้องการงบประมาณมาเติมเพื่อเร่งยอดการจอง อย่างไรก็ตาม ททท.ยังคงเน้นย้ำความร่วมมือกับสายการบินเอมิเรตส์ กาตาร์แอร์เวย์ส เอทิฮัด โอมานแอร์ และสายการบินหลักอื่นๆ ของตะวันออกกลาง ในการทำตลาดดึงนักท่องเที่ยวระยะไกลร่วมกันอย่างต่อเนื่อง
ตั้งเป้านักท่องเที่ยวตะวันออกกลาง 1.06 ล้านคนปี 68
ก่อนหน้านี้ ฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการ ททท. ให้ข้อมูลว่า เป้าหมายนักท่องเที่ยวภูมิภาค “ตะวันออกกลาง” ในปี 2568 ททท.ตั้งเป้าหมายไว้ที่ 1,065,000 คน เพิ่มขึ้น 11% จากปี 2567 ซึ่งมีจำนวนนักท่องเที่ยวอยู่ที่ 956,000 คน สร้างรายได้รวมให้กับประเทศไทยประมาณ 86,000 ล้านบาท
นักท่องเที่ยวจากภูมิภาคตะวันออกกลางนิยมพำนักในการท่องเที่ยวเฉลี่ย 10-14 วันต่อทริป และมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อทริปประมาณ 104,138 บาทต่อคน มีกิจกรรมยอดนิยม 3 อันดับแรก ได้แก่ การชอปปิง, การท่องเที่ยวชายทะเล และการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ และการแพทย์ จังหวัดที่เป็นยอดนิยมคือ กรุงเทพฯ ภูเก็ต และชลบุรี (พัทยา)
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์