บริษัททัวร์ ‘จีน’ จำศีล เดินทางเน้นทำงานมากกว่า ‘เที่ยว’ ลุ้นตลาดฟื้นตัวปี 69

บริษัททัวร์จีนตกอยู่ในภาวะ “จำศีล” บางส่วนหยุดทำทัวร์ รอตลาด “จีนเที่ยวไทย” ฟื้นภายในปี 69 “แอตต้า” ประเมินยอดคนจีนเดินทางเข้าไทยปีนี้แตะ 5 ล้านคน ส่วนใหญ่บินมาทำงาน - ทำธุรกิจ ทัวริสต์น้อย เฉพาะกรุ๊ปทัวร์จีนคิดเป็น 20% หรือ 1 ล้านคนเท่านั้น เอกชนจับจังหวะลงทุนโครงการระยะยาว
สถานการณ์ชาวจีนเดินทางท่องเที่ยวประเทศไทย สะสมตั้งแต่ต้นปี 2568 จนถึงปัจจุบันยังคงน่ากังวล ล่าสุดเมื่อวันที่ 6 มิ.ย. 2568 เป็นวันที่ตลาดนักท่องเที่ยวมาเลเซียแซงนักท่องเที่ยวจีนขึ้นเป็นอันดับ 1 ครั้งแรกในรอบ 13 ปี นับจากปี 2555
จากสถิติตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. - 8 มิ.ย.2568 มีจำนวนนักท่องเที่ยวจีนสะสม 2,029,481 คน ถูกตลาดนักท่องเที่ยวมาเลเซียแซงเป็นอันดับ 1 ด้วยจำนวน 2,041,002 คน หลังได้รับผลกระทบจากปัญหาภาพลักษณ์ความปลอดภัยที่หมักหมมมานาน โดยเฉพาะตั้งแต่เกิดกรณีนักแสดงชาวจีน ซิงซิง หายตัวไปบริเวณชายแดนไทย-เมียนมาเมื่อต้นเดือนม.ค.2568
นายศิษฎิวัชร ชีวรัตนพร นายกกิตติมศักดิ์ และประธานที่ปรึกษาอาวุโส สมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) ซึ่งปัจจุบันมีสมาชิกบริษัททัวร์ แหล่งท่องเที่ยว และอื่นๆ รวมกันจำนวน 1,554 ราย กล่าวกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า นับตั้งแต่เกิดกรณีซิงซิง ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวจีนลากยาวมากว่า 5 เดือน ทำให้บริษัททัวร์ที่ทำตลาดจีนบางส่วนอยู่ในภาวะจำศีล เพราะไม่มีงานทำ ไม่มีทัวร์เข้ามา ถ้าบริษัทเปิดทำการก็ต้องมีค่าใช้จ่ายเรื่องพนักงาน โดยบริษัททัวร์ที่เคยแข็งแรงก่อนหน้านี้ก็ต้องประคับประคองตัวเองไปให้รอด หวังว่าช่วงที่เหลือของปีนี้ จนถึงปีหน้าจะมีโอกาสกลับมาได้ ด้านบริษัททัวร์ที่ไม่ค่อยแข็งแรงหรือไม่ถนัดทำตลาดอื่นเลยนอกจากจีน ส่วนหนึ่งก็ต้องหยุดทำทัวร์ชั่วคราว
สำหรับบริษัททัวร์ในไทยที่ทำตลาดทัวร์จีนมีหลายร้อยราย เฉพาะสมาชิกแอตต้ามีประมาณ 300-500 ราย อย่างไรก็ตามบริษัททัวร์ได้มีการปรับตัวทำตลาดแบบหลากหลาย เมื่อนักท่องเที่ยวจีนยังไม่กลับมา นอกจากต้องพยายามสื่อสารกับคู่ค้าในจีนแล้ว ก็มีไปทำตลาดดึงนักท่องเที่ยวจากประเทศอื่นๆ ที่พอมีกำไรบ้างมาทดแทน
“ส่วนมีถึงขั้นปิดกิจการเลยหรือไม่นั้น ก็มีบางส่วนที่ปิดไปเลย เพราะเขาเคยเปิดเพื่อรับตลาดจีนอย่างเดียว จากก่อนหน้านี้เขากลับมาเปิดบริษัทด้วยความหวังว่าตลาดจีนจะกลับมาดีเหมือนเดิมหลังโควิดคลี่คลาย แม้ปีที่แล้วกระแสการเดินทางดี แต่พอตอนนี้ไม่มีแขก เขาก็ปิดบริษัทต่อ เพื่อรอดูตลาดว่ากลับมาฟื้นหรือไม่ ถ้าฟื้นก็ค่อยกลับมาเปิดให้บริการอีกครั้ง บางทีก็จะเปิดบริษัทใหม่ไปเลย หาทุน ร่วมทุนกันมาทำต่อ”
คาดปี 68 จีนเข้าไทย 5 ล้านคน “ทำงาน” ส่วนใหญ่
นายศิษฎิวัชร กล่าวเพิ่มเติมว่า แอตต้าประเมินแนวโน้มว่าตลอดปี 2568 จะมีชาวจีนเดินทางเข้าประเทศไทย 5 ล้านคน แต่ไม่ใช่ระดับที่น่าพอใจ เพราะติดลบเมื่อเทียบกับฐาน 6.7 ล้านคนของปี 2567 และหายไปมากกว่าครึ่งหนึ่งเมื่อเทียบกับยุคทองปี 2562 ก่อนโควิดระบาด ซึ่งมีชาวจีนเดินทางเข้าไทยมากกว่า 11 ล้านคน
จากตัวเลขคาดการณ์ 5 ล้านคนดังกล่าว มองว่าส่วนใหญ่เป็นการเดินทางเข้าเมืองเพื่อมาทำงาน และทำธุรกิจในไทย เข้าออกได้บ่อยจากนโยบายฟรีวีซ่าถาวร ส่วนกลุ่มชาวจีนที่เป็นนักท่องเที่ยวจริงๆ ค่อนข้างน้อย เห็นได้จากแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ มันโหรงเหรงไปหมดแล้ว ค่อนข้างเงียบ เรียกได้ว่าน้อยมาก แทบไม่ค่อยมีคนเดิน โดยประเมินว่าจะเป็นนักท่องเที่ยวกรุ๊ปทัวร์ประมาณ 20% หรือคิดเป็น 1 ล้านคนเท่านั้นจากตัวเลขคาดการณ์ตลอดปีนี้ ขณะที่นักท่องเที่ยวกลุ่มเดินทางด้วยตัวเอง (F.I.T.) ก่อนหน้านี้ยังพอเห็นว่าเข้าพักโรงแรม 5 ดาวที่ไหนบ้าง แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนเดิมแล้ว ไม่รู้ว่าไปพักที่ไหนกัน บางส่วนอาจจะเลือกพักตามคอนโดมิเนียมแทน
“ชาวจีนเดินทางเข้าไทยส่วนใหญ่ในตอนนี้เป็นการเข้าเมืองเพื่อทำงานทำธุรกิจ ไม่ใช่นักท่องเที่ยวจริงๆ ทั้งหมด โดยผู้ประกอบการร้านค้า และศูนย์การค้าต่างๆ ที่เป็นพันธมิตรกับบริษัททัวร์ได้ปรับทุกข์เข้ามาเหมือนกันว่าแย่ไปหมด ไม่โอเคกับสถานการณ์นี้ ผู้ประกอบการทั้งหมดต่างรอมาตรการกระตุ้นจากรัฐบาลในช่วงครึ่งปีหลัง หวังว่าจะช่วยจุดไฟให้ติดในปีนี้ต่อเนื่องถึงปีหน้า ถ้าไม่ทำเลย ปล่อยให้ตัวเลขนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางมาเที่ยวจริงๆ เป็นแบบนี้ต่อไป มันก็น่ากลัวอยู่เหมือนกัน ล่าสุดก็เพิ่งโดนตลาดนักท่องเที่ยวมาเลเซียแซงเป็นอันดับ 1 ไปแล้วเรียบร้อย”
ปัญหาภาพลักษณ์ “ไม่ปลอดภัย” หมักหมมยาว
แอตต้ามองว่าปัญหาภาพลักษณ์ความปลอดภัยของประเทศไทยหมักหมมมานานพอสมควร รัฐบาลควรเร่งแก้ไขภาพลักษณ์ เร่งสื่อสารให้ภาคเอกชน และชาวจีนเข้าใจในหลายๆ ประเด็น เช่น บางส่วนเข้าใจว่ามาประเทศไทยแล้วทำได้ทุกอย่าง ขอแค่มีเงิน มองว่านี่คือ ประเด็นที่ต้องมีหน่วยงานออกมาพูดให้เคลียร์เพื่อสร้างความเชื่อมั่น นอกจากนี้ยังต้องสร้างความร่วมมือแบบรัฐต่อรัฐ หรือระดับผู้นำประเทศ ให้สอดรับกับการเฉลิมฉลองความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีนครบรอบ 50 ปี เพราะตอนนี้มีข่าวเต็มไปหมดว่าประเทศไทยไม่ปลอดภัย คนที่อยากมาเที่ยวก็ไม่กล้ามา และตัดสินใจไปเที่ยวประเทศอื่นแทน
นอกจากนี้ ต้องมีมาตรการส่งเสริมเที่ยวบินเช่าเหมาลำ (ชาร์เตอร์ไฟลต์) กระตุ้นให้ผู้ประกอบการบริษัททัวร์ในจีนไปช่วยสร้างความน่าเชื่อถือ และทำชาร์เตอร์ไฟลต์ให้สำเร็จ นี่คือ อีกแนวทางสำคัญที่จะช่วยฟื้นตัวเลขนักท่องเที่ยวจีนกลับมาได้ แต่ถ้าไม่มีงบประมาณจากภาครัฐมาสนับสนุนตรงนี้ มองว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่ตลาดจีนจะกลับมา จึงจำเป็นต้องมีการกระตุ้นให้เห็นผลทันในไตรมาส 3-4 ปีนี้ เพราะช่วงที่ผ่านมากว่า 5 เดือนนับตั้งแต่เกิดกรณีซิงซิงหายตัว ถือว่าขาดตอนไปพอสมควรแล้ว
แนะรัฐจุดไฟ เข็นมาตรการ “ชาร์เตอร์ไฟลต์”
“มาตรการส่งเสริมชาร์เตอร์ไฟลต์จากจีนจะเป็นตัวนำในการจุดไฟ ต้องจุดให้ติดกลับมา เพราะจีนเป็นตลาดใหญ่ มีฐานนักท่องเที่ยวเยอะ ถ้าปล่อยไว้อย่างนี้ก็ลำบาก แต่ถ้าเราไม่ทำอะไรเลย แล้วให้ตลาดจีนเที่ยวไทยฟื้นกลับมาตามธรรมชาติ จะกลับมาช้า เพราะฐานกลุ่มคนจีนที่เข้าใจประเทศไทยดีนั้นมีไม่มาก ต่างจากคนที่ไม่เคยมาเที่ยวไทย เขาเห็นข่าวในโซเชียลมีเดียแล้วตกใจ ก็เลือกไปเที่ยวประเทศอื่นดีกว่า เพราะฉะนั้นเราต้องรีบกระตุ้นเป็นการด่วน และเร่งแก้ไขภาพลักษณ์ประเทศไทยให้ดีขึ้นในสายตาชาวจีน”
ด้านคู่แข่งประเทศอื่นๆ ส่วนมากชาวจีนนิยมไปเที่ยวญี่ปุ่นในช่วงนี้ เพราะมีชาร์เตอร์ไฟลต์ให้บริการจำนวนมาก ที่สำคัญคือภาพลักษณ์ความปลอดภัยของประเทศญี่ปุ่นนั้นดีมาก ชาวจีนตัดสินใจง่ายกว่าเมื่อต้องเลือกระหว่างญี่ปุ่นกับไทย นอกจากนี้นักท่องเที่ยวจีนยังกระจายไปเที่ยวเกาหลีใต้ เวียดนาม มาเลเซีย และสิงคโปร์อีกด้วย
“บริษัททัวร์ในไทยต่างรอการออกมาตรการส่งเสริมชาร์เตอร์ไฟลต์ของรัฐบาลอย่างมาก ทางเมืองจีนเองเขาก็รอมาตรการนี้เช่นกัน อย่างน้อยก็เพื่อสร้างความมั่นอกมั่นใจ ให้เขากล้าลงทุนทำชาร์เตอร์ไฟลต์ เพื่อดึงนักท่องเที่ยวจีนกลับไทย หากปล่อยให้หายไปเลยแบบนี้ ไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน” นายศิษฎิวัชร กล่าว
AWC ลงทุนตามแผนพร้อมปรับรับเศรษฐกิจ
นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ปจำกัด (มหาชน) หรือ AWC เปิดเผยว่า แผนลงทุน 5 ปีของบริษัท วงเงิน 1 แสนล้านบาท ยังคงเป็นไปตามแผนแต่อาจต้องปรับให้เหมาะสมกับสถานการณ์เศรษฐกิจโลก เพราะเศรษฐกิจก็อาจจะกลับมาฟื้นตัวดีขึ้นในอีก 2-3 ปีข้างหน้าได้ รอจังหวะเวลาที่เหมาะสมก็สามารถลงทุนต่อได้ และหันมาเน้นการลงทุนโครงการที่เห็นโอกาสของตลาดก่อน
โดยบริษัทจะโฟกัสการลงทุนโครงการเกี่ยวกับเดสติเนชัน โมเดล (Destination Model) เพื่อเสริมจุดแข็ง และศักยภาพของทั้งเมือง และประเทศ ด้วยการดึงพันธมิตรระดับโลกอย่างต่อเนื่อง อาทิ โครงการเวิ้งนครเกษม เยาวราช, โครงการอควอทีค พัทยา, โครงการลานนาทีค เชียงใหม่ และโครงการโรงแรม เดอะ ริทซ์-คาร์ลตัน แบงค็อก เดอะ ริเวอร์ไซด์
“อย่างโครงการเอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟร้อนท์ จากแผนสร้างตึก 100 ชั้น สูงสุดในประเทศไทย และได้เซ็นสัญญากับเครือแมริออท อินเตอร์เนชันแนล เตรียมพัฒนาโรงแรมริทซ์-คาร์ลตัน รีเซิร์ฟ และโรงแรมเจดับบลิว แมริออท มาร์คีส์ หวังเติมตลาดไมซ์ (MICE) ระดับเวิลด์คลาสริมแม่น้ำเจ้าพระยา เดิมเคยมองไทม์ไลน์เปิดให้บริการราวปี 2572-2573 แต่ตอนนี้ขอดูจังหวะเวลาที่เหมาะสมก่อน ยังไม่รีบ โดยยืนยันว่าไม่ใช่การพับแผนสร้างตึกสูง เพราะปัจจุบันได้เตรียมออกแบบ การวิเคราะห์กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย และขั้นตอนการขออนุญาตต่างๆ ไว้แล้ว เพียงแต่รอให้ตลาดฟื้นตัวกลับมาชัดเจนก่อน ก็จะลงมือได้"
ทั้งนี้ ได้เลือกที่จะลงทุนเปิดโครงการ จูราสสิค เวิลด์ : ดิ เอ็กซ์พีเรียนส์ ในเอเชียทีคก่อน เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวกลุ่มครอบครัวในขณะนี้
วัลลภา ไตรโสรัส
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







