‘อังกฤษ’ ดีล ‘อินเดีย’ เปิดตลาดเหล้าเบียร์ ใครได้ ใครเสีย มากกว่ากัน? | กันต์ เอี่ยมอินทรา

‘อังกฤษ’ ดีล ‘อินเดีย’ เปิดตลาดเหล้าเบียร์ ใครได้ ใครเสีย มากกว่ากัน? | กันต์ เอี่ยมอินทรา

มองดีลการค้า "อังกฤษขอินเดีย" ใครจะได้ประโยชน์มากกว่ากัน ระหว่างสหราชอาณาจักรที่ได้ขึ้นชื่อเรื่องของเหล้าสก๊อตวิสกี้ราคาแพงที่มีชื่อเสียง กับอินเดียหนึ่งในประเทศที่มีประชากรจำนวนมากนับถือศาสนาอิสลามและพราหมณ์ที่ค่อนเคร่งครัด

หนึ่งในดีลการค้าที่ “สหราชอาณาจักร” ทำกับ “อินเดีย” คือ การเปิดตลาดทำลายกำแพงภาษีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของทั้งสองประเทศ

แต่ใครจะได้ประโยชน์มากกว่ากัน ระหว่าง สหราชอาณาจักรที่ได้ขึ้นชื่อเรื่องของเหล้าสก๊อตวิสกี้ราคาแพงที่มีชื่อเสียง และทำรายได้ให้กับประเทศอย่างมหาศาล กับอินเดียหนึ่งในประเทศที่มีประชากรจำนวนมากนับถือศาสนาอิสลามและพราหมณ์ที่ค่อนเคร่งครัด คือคำถามที่น่าสนใจอย่างมาก

สหราชอาณาจักรนั้นได้ชื่อว่าเป็นแหล่งผลิตเบียร์และเหล้าวิสกี้ชั้นดีแต่โบราณ ทั้งกินดื่มในประเทศเกือบ 70,000 ล้านปอนด์ต่อปี วัฒนธรรมการสังสรรค์ โดยเฉพาะที่ผับนั้นทำให้สหราชอาณาจักรคือประเทศที่มีผับมากที่สุดในโลก ผับไม่เพียงเป็นที่เฉพาะการสังสรรค์ แต่ยังคือแหล่งนวัตกรรม การสรรสร้างศิลปะวรรณกรรมชั้นดี เพราะทั้งชาวบ้าน นักวิทยาศาสตร์ นักเขียน ปัญญาชน ต่างใช้ผับเป็นที่พูดคุยวิจารณ์ผลงานจนสามารถต่อยอดออกไปอีก

สหราชอาณาจักรคือหนึ่งในประเทศที่ขนาดตลาดเบียร์ใหญ่มาก (กว่า 50,000 ล้านปอน์ต่อปี) และมีความหลากหลายของเบียร์สูงมาก ทั้งยังเป็นต้นกำเนิดของเบียร์ IPA ที่มีชื่อเต็มคือ Indian Pale Ale ที่ทำขึ้นเพื่อเอาใจทหารอังกฤษตอนไปรบที่อินเดีย จนปัจจุบันเป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่นักดื่ม

ขณะที่ตลาดวิสกี้ของสหราชอาณาจักรก็ไม่เล็ก (กว่า 17,000 ล้านปอนด์ต่อปี) และวิสกี้ชั้นดีก็มักจะมาจากทางตอนเหนือของสก๊อตแลนด์ ดีจนกระทั่งคำว่าสก๊อตวิสกี้นั้นติดปากติดใจคนทั่วโลก และใช่ว่าวิสกี้ที่ไหนก็จะเรียกตัวเองว่าสก๊อตวิสกี้ได้ เพราะมีกฎหมายคุ้มครองสินค้านี้ให้เฉพาะวิสกี้ที่ทำจากพื้นที่เฉพาะบางบริเวณเท่านั้น เฉกเช่นเดียวกับแชมเปญ ที่ต้องผลิตในแคว้นแชมเปญของฝรั่งเศสเท่านั้น

แต่ใครจะรู้ว่า อินเดียที่ไม่ค่อยจะมีเหล้าเบียร์ยี่ห้อดัง และดูเหมือนจะสู้อังกฤษไม่ได้หากมองอย่างผิวเผิน แต่กลับเป็นประเทศที่เป็นตลาดของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก อยู่ที่ 40,000 ล้านปอนด์และเติบโตกว่า 7% ต่อปี ถ้าหากเจาะลงมาที่ตลาดเหล้าวิสกี้โดยเฉพาะจะพบว่า 88% ของส่วนแบ่งตลาดนั้นคือวิสกี้ผลิตในอินเดีย อันเนื่องมาจากภาษีที่แต่เดิมสูงกว่า 150%

และหนึ่งในสิ่งที่น่าตกใจที่หลายคนไม่ทราบก็คือ ปัจจุบันอินเดียคือประเทศส่งออกเหล้าวิสกี้อันดับ 1 ของโลก หากวัดตามจำนวน นั่นคือ 192 ล้านขวดต่อปี (สถิติจากปี 2024) โดยโค่นแชมป์ผลิตวิสกี้อันดับหนึ่งอย่างฝรั่งเศสลงในปีก่อนหน้าที่ทำสถิติไว้ที่ 167 ล้านขวด ซึ่งหมายความว่าอินเดียนั้นผลิตเยอะกว่า และราคาวิสกี้อินเดียนั้นถูกกว่า

ดังนั้นการลดกำแพงภาษีแต่เดิมที่150% ลงมาครึ่งนึงที่ 75% ในตอนนี้ และจะลดลงไปเหลือที่ 40% ในปีที่สิบหลังจากนี้นั้น แน่นอนจะทำให้สก๊อตวิสกี้ที่อินเดียราคาถูกลง สามารถแข่งขับวิสกี้อินเดียได้มากขึ้นก็จริง สหราชอาณาจักรสามารถเข้าถึงตลาดนักดื่มขนาดใหญ่ในอินเดียนั่นก็ถูกส่วนหนึ่ง

แต่ราคาที่สหราชอาณาจักรจะต้องจ่ายนั่นก็คือ การเปิดตลาดที่ก็ขนาดใหญ่เช่นกันให้กับอินเดียที่สามารถผลิตวิสกี้ได้ถูกกว่า และปริมาณเยอะกว่า และนี่ก็คือความสวยงามของการค้าเสรี ที่ผู้บริโภคจะมีตัวเลือกที่มากขึ้น กระตุ้นให้เกิดการแข่งขันและพัฒนาสินค้าให้ดีขึ้น