เศรษฐกิจไทยโต (3%) ยาก! แนะธุรกิจผสาน ‘ยุทธศาสตร์-ยุทธวิธี’ สู้โลกผันผวน

จับชีพจรเศรษฐกิจไทยเดินหน้าสู่ครึ่งปีหลังยังไม่มีสัญญาณฟื้นตัว! ขณะที่ตลาดนักท่องเที่ยว ความเชื่อมั่นผู้บริโภคในประเทศชะลอตัว ภาคธุรกิจจะตั้งรับอย่างไร
บุรณิน รัตนสมบัติ นายกสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย (Marketing Association of Thailand : MAT) กล่าวว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในครึ่งปีหลัง มีปัจจัยที่ต้องติดตามกับสถานการณ์ของเศรษฐกิจโลกและการค้าที่ไม่เหมือนเดิม เป็นการเข้าสู่โลกาภิวัตน์อย่างเต็มรูปแบบ ทำให้ทุกอย่างไม่น่ากลับมาได้ตามปกติ และจากความไม่แน่นอน ทำให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ของประเทศไทย ที่จะถึงระดับ 3% เป็นไปได้ค่อนข้างยากแล้ว
อย่างไรก็ดี แม้ว่าไทย กำลังเผชิญสถานการณ์เศรษฐกิจที่ชะลอตัว แต่มีข้อได้เปรียบในความสัมพันธ์ที่ดีกับทั้งประเทศในภูมิภาคเอเชีย สหรัฐ และยุโรป ดังนั้นภาครัฐ เอกชน ภาคอุตสาหกรรมต่างๆ ต้องสร้างความร่วมมือฝ่าวิกฤติไปพร้อมกัน รวมทั้งให้คำแนะนำกับประชาชนควรเตรียมตัวอย่างไร
“ผลกระทบจากสงครามการค้า จากสหรัฐถึงไทยและการปรับขึ้นภาษี ดังนั้นประเทศไทยจึงไม่ควรผลักดันจีดีพีขยายตัวด้วยการส่งออกเท่านั้น แต่ควรปรับยุทธศาสตร์และขยายส่วนอื่นๆ ทั้งการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ”
ทั้งนี้ นโยบายที่ดีสุดคือ การลงทุนในประเทศ มุ่งอุตสาหกรรมใหม่ที่มีศักยภาพ เพราะไทยอยู่ในอุตสาหกรรมเดิมมานาน รวมถึงปรับเปลี่ยนนโยบายในการส่งเสริมการลงทุน ด้วยการดึงการลงทุนใหม่ที่มีศักยภาพเข้ามา เพื่อเพิ่มโอกาส สร้างมูลค่าเพิ่ม เพิ่มข้อได้เปรียบให้ประเทศ และไม่ควรเน้นปริมาณโครงการลงทุนเท่านั้น อีกทั้งควรปรับเพิ่มเพดานหนี้สาธารณะ เพื่อมุ่งลงทุนยกระดับโครงสร้างของประเทศทั้งระยะกลางและระยะยาว
สำหรับภาคเอกชนไทยต่างได้รับผลกระทบจากความไม่แน่นอนต่างๆ ดังนั้นควรยอมรับสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ต้องตั้งหลัก และตั้งรับให้ได้ เนื่องจากเมื่อเศรษฐกิจไม่ดี มีผลต่อสภาพคล่องให้หดตัวลง ส่วนนักการตลาดไม่ควรยึดติดกับความสำเร็จในรูปแบบเดิม ที่ใช้แนวทางกระตุ้นแบรนด์และเพิ่มยอดขายด้วยการโฆษณาสินค้าเท่านั้น แต่ต้องเปลี่ยนวิธีคิด วิธีการจัดการใหม่ และมองให้ลึกกว่าคำว่า “กลยุทธ์แบบเดิม” ต้องใช้ “ยุทธศาสตร์" และ “ยุทธวิธี” (Strategy & Tactics) ไปด้วยกัน ปรับทรานฟอร์มองค์กร และตำแหน่งแบรนด์ใหม่
พร้อมให้ความสำคัญกับการทำตลาดแบบมุ่งเป้าและใช้เครื่องมือการตลาดแบบใหม่ที่มีศักยภาพ ดึงกลุ่มไมโครอินฟลูเอนเซอร์ที่กำลังมีบทบาทเข้ามาร่วมบริหารแบรนด์ ขยายมุมมองจากคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะการตลาดจากกลุ่ม GEN Z ที่มีวิธีการคิดแตกต่างตามรูปแบบการค้าที่เปลี่ยนไป ทำให้คอนเซปต์การค้าต้องเปลี่ยนตามไปด้วย อีกทั้งต้องคำนึงถึงการทำตลาดเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อม การปรับเปลี่ยนวิธีการคิด และจิตสำนึก ผสมด้วยการทำอย่างจริงใจให้ชัดเจน เพื่อสร้างความยั่งยืน นอกจากนี้ต้องคำนึงเรื่องลดต้นทุนการดำเนินการต่างๆ และลดการดำเนินงานที่ไม่จำเป็น แต่ไม่ได้หมายถึงการลดคน
“นักการตลาดต้องมองให้ไกลกว่าการขาย ปรับคิดให้ลึกกว่ากลยุทธ์ ทำให้จริงจังกว่าคำโฆษณา และกล้ายืนหยัดในจุดยืนของแบรนด์อย่างจริงใจ”
บุรณิน กล่าวต่อว่า ปี 2568 สมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย ได้เร่งสร้างความแข็งแกร่งให้กับนักการตลาดไทยสู่ระดับภูมิภาค ทั้งการทำงานร่วมกับสมาพันธ์การตลาดแห่งเอเชีย (Asia Marketing Federation-AMF) ร่วมผลักดันบทบาทของประเทศไทยสู่ต่างประเทศ ทำให้ไทยก้าวสู่ศูนย์กลางด้านการตลาดของภูมิภาค พร้อมสร้างนักการตลาดรุ่นใหม่ให้มีความพร้อมในการเป็นผู้นำ มุ่งขยายแนวคิดการตลาดเพื่อสังคม (Social Marketing) เพื่อตอบโจทย์ความยั่งยืนในทุกมิติ ทั้งเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม
ส่วนปี 2569 ครบรอบ 60 ปีของ สมาคมฯ ที่มีจุดเริ่มต้นของกลุ่มคนที่เชื่อมั่นในพลังของการตลาดในฐานะกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคม เป็นศูนย์กลางองค์ความรู้ด้านการตลาด ที่เชื่อมโยงทุกภาคส่วน ทั้งภาคธุรกิจ รัฐ นักวิชาการ หรือคนรุ่นใหม่ ให้เข้ามาร่วมเรียนรู้ แลกเปลี่ยน และขับเคลื่อนวงการการตลาดของไทย พร้อมเป็น “Marketing Accelerator” ผลักดันการตลาดเป็นยุทธศาสตร์สำคัญในการขับเคลื่อนประเทศ