จบแพทย์ เกือบเป็นอาจารย์หมอ สู่เจ้าของกางเกงยีนส์ ‘MERGE’ เปิดมา 5 ปี รายได้เฉียด ‘ร้อยล้าน’

รู้จัก “MERGE” กางเกงยีนส์สัญชาติไทย เริ่มจาก Pain Point ผู้หญิงเอวเล็ก-สะโพกใหญ่ เปิดมา 5 ปี กวาดรายได้ไปแล้ว 86 ล้านบาท ปีนี้ขอโตอีก 100% ตั้งเป้าใหญ่เป็น “Global Brand” พร้อมกางแผนขยายไปต่างประเทศภายในปีหน้า
KEY
POINTS
- “MERGE” แบรนด์กางเกงยีนส์ที่โด่งดังสุดๆ ในแพลตฟอร์มออนไลน์ จากความใหม่ของแพทเทิร์นที่ทำมารองรับ Pain Point เอวเล็ก-สะโพกใหญ่ของผู้หญิง เปิดมาได้เพียง 5 ปี และกำลังนับถอยหลังเข้าสู่หลักไมล์ร้อยล้าน
- “MERGE” ก่อตั้งโดยสองสามีภรรยา ฝ่ายหญิงจบคณะอักษรศาสตร์ ส่วนฝ่ายชายเป็นคุณหมอดีกรีเกียรตินิยมอันดับ 1 แต่เพราะเข้ามาทำธุรกิจอย่างจริงจัง มองเห็นการเติบโตและความท้าทายจึงตัดสินใจพับแผนเรียนต่อแพทย์เฉพาะทาง ดันแบรนด์ MERGE เต็มตัว
- ปี 2566 “MERGE” มีรายได้ 86 ล้านบาท ส่วนในปี 2567 เติบโตขึ้นจากเดิม 200-300% เจ้าของแบรนด์มองว่า ภายในปีหน้าอยากพาธุรกิจไปต่างประเทศ และมีเป้าหมายสูงสุดคือการเป็น “Global Brand” ที่ทำให้คนไทยภูมิใจ
เพราะเป็นต้นกำเนิดแรกสุดของกางเกงยีนส์ ทำให้แบรนด์จากฝั่งสหรัฐตีตลาดยีนส์ได้ครอบคลุมทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยเองก็พบว่า เต็มไปด้วยแบรนด์สัญชาติอเมริกันอยู่พักใหญ่ และไม่นานหลังจากนั้นก็ถึงคราวของยีนส์จากแดนอาทิตย์อุทัยที่ไต่ระดับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ไหน จากประเทศอะไร ราคาสูงแค่ไหน ก็ยังไม่สามารถแก้ Pain Point ของรูปร่างแบบสาวไทยที่มีเอวเล็ก-สะโพกใหญ่ได้สักที
วันเวลาผ่านไปวิวัฒนาการของวงการแฟชั่นรุดหน้า จนมียีนส์ไทยหน้าใหม่เกิดขึ้นมากมายจากการทำการตลาดผ่านช่องทางออนไลน์ “MERGE” (อ่านว่า เมิร์จ) คือหนึ่งในแบรนด์ที่เกิดขึ้นท่ามกลางเทรนด์ที่เราว่ามา ตัดสายสะดืออย่างเป็นทางการเมื่อปี 2563 ซึ่งเป็นช่วงที่ประเทศไทยยังคงเผชิญกับวิกฤติโรคระบาดใหญ่ เสื้อผ้าที่ถูกจัดอยู่ในประเภทสินค้าฟุ่มเฟือยจึงน่าจะเป็นตัวเลือกแรกๆ ที่ผู้บริโภคตัดชอยส์ทิ้ง
แต่ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น “MERGE” แบรนด์กางเกงยีนส์น้องใหม่ กลับได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นทุกปี นับตั้งแต่ปีแรกจนถึงตอนนี้ รายได้ของ “MERGE” เติบโตขึ้นอย่างน้อยๆ 200% ทุกปี ปี 2566 บริษัท เซ้นส์ เอเชีย คอร์ปอเรชั่น จำกัด มีรายได้รวม 86 ล้านบาท กำไรสุทธิอีก 2.1 ล้านบาท
ใช้เวลาเพียง 5 ปี “MERGE” กำลังไต่ระดับสู่แบรนด์ร้อยล้าน จากการแข่งขันในตลาดแฟชั่นที่มีเทรนด์ใหม่ๆ ผันเปลี่ยนหมุนเวียนแทบทุกเดือน โดยที่ผู้ก่อตั้งแบรนด์ทั้งสองคนไม่ใช่นักเรียนสายการตลาด ไม่เคยทำธุรกิจมาก่อน และหนึ่งในนั้นยังเป็นอดีตคุณหมอที่เคยวางเป้าหมายสู่เส้นทางอาจารย์แพทย์ด้วย
จบอักษรมาขายของออนไลน์ พับแผนเรียนต่อ “อาจารย์หมอ” มาขายกางเกงยีนส์
จุดเริ่มต้นที่ทำให้ “กลด-อธิศ ทิพย์ชัยเชษฐา” และ “จี้-พรปวีณ์ ด่านมิ่งเย็นวงศ์” หันมาจับธุรกิจสร้างแบรนด์กางเกงยีนส์ มาจาก Pain Point ของ “จี้” ที่ไม่สามารถหากางเกงยีนส์ให้พอดีกับรูปร่างของตัวเองได้ เธอเป็นคนเอวเล็ก-สะโพกใหญ่ ยุคนั้นถ้าจะหากางเกงยีนส์ที่พอดีกับสะโพก สัดส่วนช่วงเอวก็จะหลวมมาก ไหนจะเรื่องแพทเทิร์นที่ช่วยเก็บหน้าท้อง ใส่แล้วช่วยพรางหุ่น ส่งเสริมให้รูปร่างดูดีมากกว่าเดิม ฯลฯ สารพัดข้อกังวลที่ยังไม่มียีนส์เจ้าไหนตอบโจทย์เธอได้
“กลด” บอกว่า แม้ตัวแฟนสาวจะเรียนจบคณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร แต่กลับมีความสนใจศึกษาเรื่องการขายของออนไลน์ โดย “จี้” เป็นคนจุดประกายเริ่มต้นลุยธุรกิจก่อน ส่วน “กลด” เรียนจบคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บังเอิญว่า ในช่วงรอยต่อของโควิด-19 ตรงกับจังหวะรอเรียนต่อเฉพาะทางด้านอายุรกรรม เขาจึงมีโอกาสเข้าไปช่วยส่วนงานฝั่ง Operation ตั้งแต่ยิงแอด ทำเว็บไซต์ ดูงบการเงิน ค่อยๆ เรียนรู้การทำธุรกิจไปเรื่อยๆ
จนถึงจุดหนึ่ง “กลด” เริ่มสนุกกับธุรกิจมากกว่า จึงตัดสินใจล้มเลิกแผนเรียนต่อแพทย์เฉพาะทาง และออกมาเปิดบริษัทอย่างจริงจังราวๆ 4 ปีที่แล้ว เขาเล่าว่า เดิมทีที่บ้านคาดหวังให้เรียนต่อจนเป็นอาจารย์แพทย์ตามรอยพี่ชายที่เป็นอาจารย์แพทย์ไปแล้ว เพราะมองว่า อาชีพหมอมีรายได้ที่มั่นคง บวกกับ “กลด” เป็นคนเรียนเก่ง จบหมอดีกรีเกียรตินิยมอันดับ 1 แต่สุดท้ายเมื่อได้ลองหยิบจับธุรกิจก็พบว่า นี่คือน่านน้ำใหม่ที่ท้าทายมากกว่า ทั้งยังเห็นแนวโน้มการเติบโตของแบรนด์ที่มีความเป็นไปได้สูง เพราะปีแรก “MERGE” ก็มีรายได้แตะหลักล้านบาทแล้ว
“ที่บ้านผมทำธุรกิจผลิตรองเท้า แต่คุณพ่อคุณแม่จะทำธุรกิจสไตล์คนจีนยุคเก่า ตอนผมเรียนจบการทำธุรกิจของที่บ้านก็ซาลงไปเยอะแล้ว เขาเลยรู้สึกว่า ธุรกิจไม่มั่นคง อยากให้ผมเป็นหมอเพราะมั่นคงกว่า แต่ตอนนั้นเราเห็นแล้วว่า แบรนด์มีการเติบโตต่อเนื่อง ซึ่งตลอด 5 ปีก็โตทุกปี ปีแรกยอดขายโตมาหลักล้าน และโตปีละ 200-300% เรื่อยๆ เห็นแล้วว่า สิ่งนี้เลี้ยงดูเราได้ ทำให้เรามีเวลามากขึ้นด้วย จนกระทั่งผ่านไป 2 ปี ผมก็แต่งงานกับคุณจี้ เลยมาช่วยกันทำเป็นแบรนด์ MERGE ขึ้นมา”
-(จากซ้ายไปขวา) กลด-อธิศ ทิพย์ชัยเชษฐา และ จี้-พรปวีณ์ ด่านมิ่งเย็นวงศ์ สองผู้ก่อตั้งแบรนด์ MERGE-
แก้แบบเป็นสิบรอบก็ต้องทำ อยากนำหน้าต้องไม่ทำตามคนอื่น
จุดหักเลี้ยวที่ทำให้ “MERGE” โตอย่างก้าวกระโดดไม่ได้ใช้เวลานานมากนัก เพียง 2-3 เดือนก็พบว่า รูปถ่ายแบบสินค้ากลายเป็นไวรัลทั่วอินเทอร์เน็ต จากการดึงนางแบบพลัสไซซ์ และนางแบบ LGBTQ ที่มีความหลากหลายทางเพศมาร่วมงาน “กลด” บอกว่า ตนน่าจะเป็นเจ้าแรกๆ ที่ทำสิ่งนี้ และตระหนักถึงเรื่อง “Real Size Beauty” ในช่วงเวลาที่ยังไม่มีใครพูดถึง เมื่อแบรนด์เริ่มเป็นกระแส คนรู้จักสินค้า ก็มีการขยายพอร์ตเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
เรื่องนี้เกิดจากการศึกษาเทรนด์ในตลาดโลกของ “จี้” ย้อนกลับไป 5 ปีที่แล้ว เทรนด์เรื่อง “Real Size” กำลังเป็นที่พูดถึงในสหรัฐ อ้วนผอมหรือหุ่นแบบไหนก็สวยได้ เธอเชื่อว่า เมื่อเทรนด์โลกมาแบบนี้อีกหน่อยที่ไทยก็จะตามมาติดๆ เช่นกัน เพราะเด็กรุ่นใหม่เสพสื่อจากต่างประเทศมากขึ้นแล้ว ไม่ใช่การทำนายได้แม่นยำอะไร แต่เพราะมีความเชื่ออย่างแรงกล้า “MERGE” จึงปักธงจุดยืนนี้มาจนถึงปัจจุบัน
หากดูไซซ์กางเกงยีนส์แบรนด์ MERGE จะเห็นว่า มีความหลากหลายตั้งแต่เอว 22 นิ้ว ไปจนถึง 41 นิ้ว สำคัญที่สุดคือต้องมีทั้ง “แฟชั่น” และ “ฟังก์ชัน” คู่ขนานไปด้วยกัน วางแพทเทิร์นยีนส์แบบที่ในตลาดยังไม่เคยมีไม่ใช่เรื่องง่าย ปรับกันเป็นสิบรอบกว่าจะเจอแบบที่ใช่ “กลด” บอกว่า ยีนส์เป็นสินค้าที่พัฒนาค่อนข้างยาก มีเรื่องของการยืดหดและฟอกสีเข้ามาเกี่ยวข้อง เมื่อแพทเทิร์นได้แล้วก็ยังไม่พอแต่ต้องทำอะไรใหม่ๆ เพื่อเป็นผู้นำในตลาด ทำในสิ่งที่ยังไม่เคยมีใครทำมาก่อน
ยกตัวอย่างเช่น สี Ombre สีที่เป็นเอกลักษณ์ของร้าน ใช้เทคนิคฟอกไล่สีอ่อนไปเข้ม “กลด” บอกว่า MERGE เป็นยีนส์ไทยเจ้าแรกที่ทำสิ่งนี้ หลังจากนั้นก็มียีนส์ฟอกไล่เฉดเกิดขึ้นมากมาย แต่ในขณะที่คู่แข่งไล่ตามมา ก็พบว่า Ombre กลายเป็นสีขายดีในช่วงเวลานั้นทันที เพราะผู้บริโภครู้ว่า “MERGE” คือต้นตำรับ ถ้าจะซื้อยีนส์สีนี้ แบรนด์ “MERGE” คือต้นกำเนิด เป็นสีคลาสสิกไปโดยปริยาย
ไม่ใช่แค่สี Ombre แต่ “Moonlight” เฉดที่ได้รับความนิยมจนขาดตลาดไปช่วงหนึ่งก็เช่นกัน “กลด” เล่าว่า ทั้งหมดมาจากการทำรีเสิชของทีมดีไซน์เนอร์ ซึ่งมี “จี้” เป็นแกนหลัก เป็นแนวโน้มที่เห็นจากตลาดต่างประเทศและนำมากรุยทางในบ้านเรา แม้ตอนออกมาใหม่ๆ คนจะยังไม่เข้าใจมากนัก แต่ถึงตอนนี้ก็น่าจะพิสูจน์ได้แล้วว่า กลยุทธ์เปิดก่อนได้เปรียบทำให้จุดยืนของ MERGE อยู่ในฐานะผู้นำเทรนด์ที่มาก่อนกาลได้จริง
ปีนี้ขอโต 100% อยากไปต่างประเทศ ขอเป็นแบรนด์ไทยที่คนไทยภูมิใจ
ภาพรวมผลประกอบการของ “MERGE” ภายใต้บริษัท เซ้นส์ เอเชีย คอร์ปอเรชั่น จำกัด ในปี 2567 เติบโตจากปี 2566 ราวๆ 200-300% ปีนี้ทั้งคู่ตั้งเป้าให้เติบโตอีก 100% แม้จะมีกางเกงยีนส์เป็น “Hero Product” แต่ปัจจุบันพอร์ตสินค้าของ “MERGE” ขยายไปไกลกว่านั้นแล้ว มีทั้งเสื้อครอป เสื้อยืด รวมถึงกระเป๋าที่ผลิตออกมากี่ใบ กี่แบบก็หมดเกลี้ยง ได้รับความนิยมถึงขีดสุดไม่ต่างจากสินค้าหมวดเสื้อผ้า
นอกจากนี้ ปีที่ผ่านมา “MERGE” ยังทยอยเปิดหน้าร้านเพิ่มขึ้น ตอนนี้สัดส่วนการขายแบ่งเป็นออนไลน์ 70% และออฟไลน์ 30% ส่วนหนึ่งที่ตัดสินใจเปิดช็อปเพราะมีลูกค้าต้องการทดลองสินค้าก่อนตัดสินใจซื้อ แต่เหตุผลหลักๆ เป็นเรื่องของการเติบโต พอแบรนด์เดินทางมาถึงจุดหนึ่ง เริ่มมีเม็ดเงินลงทุนจึงตัดสินใจเปิดหน้าร้านอย่างเป็นทางการ และต้องเป็นช่องทางที่สร้างประสบการณ์ให้ลูกค้าได้มากกว่าการเดินเข้ามาเลือกซื้อเสื้อผ้าแล้วกลับออกไป มีฟังก์ชัน มีคาแรกเตอร์ มีกลิ่นอายของความเป็น MERGE
ส่วนแผนในปีหน้า “กลด” บอกว่า มีคิดเรื่องขยายไปต่างประเทศบ้างแล้ว ตอนนี้เป็นช่วงที่เริ่มวางระบบบริหารจัดการหลังบ้านให้มีประสิทธิภาพ ถ้าย้อนกลับไปทั้ง “กลด” และ “จี้” ไม่มีใครเรียนจบสายธุรกิจมาโดยตรง ยังต้องเรียนรู้ไปพร้อมกับน้องๆ ในทีมทุกวัน ก้าวสำคัญในการไปต่างประเทศจะเริ่มเห็นทิศทางที่ชัดเจนในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ และโฟกัสอย่างจริงจังในปี 2569
สาเหตุที่คิดเรื่องขยายตลาดเพราะตอนนี้เริ่มมองเห็นลูกค้าต่างชาติเข้ามาให้ความสนใจบ้างแล้ว หลักๆ มาจากการรีวิวของอินฟลูเอนเซอร์ไทยที่พบว่า มีฐานแฟนคลับต่างชาติที่แข็งแรงมากๆ บางครั้งมีนักแสดงใส่สินค้า MERGE แล้วถ่ายลงอินสตาแกรมส่วนตัว แฟนคลับต่างชาติถึงกับบินมาซื้อสินค้าตามก็มีเช่นกัน จะเริ่มศึกษาตลาดจากบ้านใกล้เรือนเคียงโซนเอเชียดูก่อนว่า สถานการณ์ตอนนี้เป็นอย่างไร ประเทศไหนที่มีวี่แววเปิดรับสินค้าแนว MERGE อยู่บ้าง
เมื่อถามว่า โตแรงขนาดนี้มีนักลงทุนเข้ามาจีบบ้างหรือไม่ “กลด” บอกว่า มีเข้ามาคุยเรื่อยๆ เคยมีการพูดคุยกันเบื้องต้นไปบ้าง แต่มองว่า ตอนนี้ยังเป็นจังหวะที่แบรนด์ขอลุยธุรกิจด้วยตัวเองก่อน พร้อมกับการแต่งตัวเตรียมสเกลธุรกิจในอนาคตไปด้วย หากในอนาคตจะมีพาร์ทเนอร์เข้ามาร่วมลงทุนด้วยจริงๆ ก็อยากให้เป็น “Strategic Partner” ช่วยให้แบรนด์โตไวมากกว่าที่ทำกันเอง
เป้าหมายระยะไกลและใหญ่ที่สุดสำหรับ “MERGE” คือการผลักดันแบรนด์สู่ระดับโลก อยากเป็นแบรนด์ไทยที่ทำให้คนไทยภูมิใจ “จี้” เสริมว่า ปัจจุบันสินค้ายีนส์จากแบรนด์ใช้ผ้ายีนส์ที่โรงทอผ้าไทยเกือบ 100% ตอนนี้คนไทยรู้จักแล้ว สเตปต่อไปคือตลาดเอเชีย และไปสู่ระดับโลก เป็น “Global Brand” ในอนาคต
“เราเป็นแบรนด์ที่ตั้งต้นจากการทำกางเกงยีนส์ที่คนหาใส่ไม่ได้ มีความหลากหลายตั้งแต่ไซซ์เล็กมากจนถึงพลัสไซซ์ ทำออกมาเพื่อให้เขามีกางเกงใส่ พวกเสื้อผ้าสาวเปรี้ยวเราก็มี ตอนแรกไม่ค่อยมีใครทำ เพราะคิดว่า สาวอวบอาจจะไม่กล้าใส่รึเปล่าแต่เราทำออกมาก่อน รองรับคนที่อยากแต่งตัว และทำแคมเปญที่ Empower ผู้หญิงเรื่อยๆ เพื่อให้เขามั่นใจกล้าแต่งตัว อาจจะไม่จำเป็นต้องผอม หุ่นดี เพียงแต่เราใส่แล้วรูปร่างดีขึ้นในแบบของเรา อันนี้เป็นสโลแกนของแบรนด์ที่เราทำ”