ท่องเที่ยวชงรัฐอัดงบ 3.5 พันล้านบาท ฉีดยาแรงบูสต์ต่างชาติเที่ยวไทย

“ท่องเที่ยวฯ” เขย่าแผนครึ่งปีหลังกระตุ้นทัวริสต์ทั้งตลาดไทย-ต่างชาติ จ่อชง “ครม.” ของบกลางฯ วงเงิน 3,500 ล้าน ฉีดยาแรงผ่าน 3 โครงการ เฉพาะ “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” ปรับใหม่ ลดจำนวนสิทธิเหลือไม่ถึง 1 ล้านสิทธิ แบ่งงบบางส่วนบูสต์ “ต่างชาติเที่ยวไทย” รักษาโมเมนตัมปี 2568 ดันให้ถึง 35.5 ล้านคนเท่าปีก่อน เน้นพยุง “ตลาดจีน” สกัดผลกระทบไม่ให้เกิดกรณีเลวร้ายที่สุด เหลือยอดเดินทางเข้าไทยแค่ 4-5 ล้านคนในปีนี้
กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ต้องปรับแผนครึ่งปีหลัง เตรียมเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ของบกลางฯ วงเงิน 3,500 ล้านบาท มาอัดยาแรงบูสต์นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติผ่าน 3 โครงการ หนึ่งในนั้นเพื่อเป้าหมายพยุงตลาดนักท่องเที่ยวจีนในปี 2568 ให้ได้จำนวน 6.7 ล้านคนเท่าปีที่แล้ว
นายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า จากการประชุมร่วมกับนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพื่อปรับแผนกระตุ้นการท่องเที่ยว หลังสถิตินักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2568 (ม.ค.-เม.ย.) มีจำนวนสะสม 12.09 ล้านคน ลดลง 0.2% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว จึงสั่งการให้ ททท. ปรับแผนครึ่งปีหลังของปี 2568 โดยใช้งบประมาณให้เกิดประโยชน์สูงสุด
"จากเดิมกระทรวงการท่องเที่ยวฯ จะเสนอของบกลางปี 2568 รายการสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อทำโครงการเที่ยวไทยคนละครึ่ง จำนวน 1 ล้านสิทธิ์ วงเงิน 3,500 ล้านบาท จึงขอปรับว่าภายใต้วงเงินเดิมจะแบ่งมาจัดทำโครงการกระตุ้นการท่องเที่ยวของตลาดต่างประเทศด้วย"
นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า จะนำเสนอแผนที่ปรับใหม่นี้เสนอให้นายกฯ พิจารณาภายในสัปดาห์นี้ ก่อนที่กระทรวงการท่องเที่ยวฯ จะเสนอต่อที่ประชุม ครม. ต่อไป โดยงบกลางฯ ที่จะเสนอขอ 3,500 ล้านบาทเปรียบเสมือนบูสเตอร์ช็อต (Booster Shot) เพื่อนำมากระตุ้นตลาดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติผ่าน 3 โครงการให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
“ททท.มองว่าด้วยสถานการณ์ภาพรวมนักท่องเที่ยวต่างชาติชะลอตัวในตอนนี้ นอกจากการกระตุ้นตลาดในประเทศแล้ว จำเป็นต้องแบ่งงบประมาณส่วนหนึ่งมารักษาแรงส่ง (Momentum) ตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติด้วย”
ชงอัดงบกลางฯ ฉีดยาแรงผ่าน 3 โครงการ
สำหรับ 3 โครงการดังกล่าว ประกอบด้วย 1.โครงการ “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” ที่ตั้งเป้าหมายกระตุ้นการเดินทางของนักท่องเที่ยวชาวไทยในช่วงโลว์ซีซันปีนี้ จากการหารือล่าสุดอาจมีการปรับลดจำนวนสิทธิเหลือไม่ถึง 1 ล้านสิทธิ และประชาชนที่เข้าร่วมโครงการจะถูกจำกัดสิทธิ ใช้ได้สูงสุดไม่ถึง 10 สิทธิต่อ 1 คน ขณะที่การกำหนดสัดส่วนการใช้สิทธิในเมืองหลักและเมืองรอง เบื้องต้นอาจเท่ากันที่ 50:50 แต่ทั้งหมดต้องหารือกับกระทรวงการท่องเที่ยวฯ เพื่อสรุปรายละเอียดและเงื่อนไขโครงการนี้ทั้งหมดก่อน
2.โครงการส่งเสริมตลาดร่วม (Joint Promotion) ผ่านแพลตฟอร์มท่องเที่ยวออนไลน์ (OTA) เพื่อเจาะนักท่องเที่ยวกลุ่มเดินทางด้วยตัวเอง (F.I.T.) ซึ่ง ททท.จะร่วมกับ OTA รายใหญ่ให้ครอบคลุมการทำตลาดทั่วโลก
และ 3.โครงการส่งเสริมตลาดร่วม (Joint Promotion) กับสายการบิน ทำเฉพาะตลาดนักท่องเที่ยวจีน โดย ททท.จะสนับสนุนทั้งเที่ยวบินประจำ (Regular Flight) และเที่ยวบินเช่าเหมาลำ (Charter Flight) แต่จะให้น้ำหนักการสนับสนุนแก่เที่ยวบินเช่าเหมาลำมากกว่า วางเงื่อนไขเบื้องต้นคือต้องการันตีจำนวนผู้โดยสาร มีอัตราการขนส่ง (Load Factor) ไม่ต่ำกว่า 85% ต่อเที่ยวบิน เพราะเที่ยวบินประจำได้อานิสงส์บางส่วนจากโครงการส่งเสริมตลาดร่วมกับ OTA ไปแล้ว
“สถานการณ์ตลาดนักท่องเที่ยวจีนในตอนนี้ได้รับผลกระทบจากหลายปัจจัย โดยเฉพาะปัญหาภาพลักษณ์ความปลอดภัยของประเทศไทย ทำให้นักท่องเที่ยวจีนกลัว ไม่อยากเดินทาง กระทบต่อการทำตลาดเที่ยวบินเช่าเหมาลำของบริษัททัวร์ และเกรงว่าในอนาคตจะกระทบต่อตลาดเที่ยวบินประจำตามมา จึงจำเป็นต้องพยุงตลาดเที่ยวบินเช่าเหมาลำจากจีนเอาไว้”
ดึงเอเย่นต์ทัวร์-KOL จากจีน 500 คนเยือนไทย
นอกเหนือจาก 3 โครงการดังกล่าว ททท.มีแผนใช้งบการตลาดที่มีอยู่แล้ว 20 ล้านบาท ทำโครงการ “สวัสดีหนีห่าว” จัดเมกะแฟมทริปในช่วงปลายเดือน พ.ค. 2568 เชิญผู้ประกอบการบริษัททัวร์ สื่อมวลชน และผู้นำทางความคิด (KOL) รวม 500 คนจากทุกมณฑลทั่วประเทศจีน เดินทางมาสำรวจบรรยากาศและสินค้าการท่องเที่ยวของไทย
“นายกฯ แพทองธาร ชินวัตร จะมาร่วมเปิดงานเมกะแฟมทริปโครงการสวัสดีหนีห่าวด้วย เพื่ออัปเดตข้อมูลและแผนงานของรัฐบาลไทยว่าปัจจุบันได้บริหารจัดการข้อกังวลต่างๆ ที่มีผลต่อความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวจีนอย่างไรบ้าง ให้ผู้ที่มาร่วมงานได้เข้าใจภาพและเชื่อมั่นประเทศไทย”
นอกจากนี้ ททท.มีกำหนดจัดงานเทรดโชว์ส่งเสริมการท่องเที่ยว “ไทยแลนด์ ทราเวล มาร์ท พลัส 2025” ระหว่างวันที่ 4-6 มิ.ย. ที่ จ.เชียงใหม่ มีผู้ซื้อ (Buyer) จากต่างประเทศเดินทางมาร่วมงาน 480 คน รวมกับสื่อมวลชนและ KOL แล้วมากกว่า 500-600 คน โดยได้เชิญผู้ร่วมงานจากตลาดจีนมาจำนวนมาก คาดหวังให้เป็นอีกงานที่ช่วยยกระดับการสร้างภาพลักษณ์ของประเทศไทย
โจทย์ยาก “ท่องเที่ยว” ฝ่าสงครามโซเชียลมีเดีย
นางสาวฐาปนีย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า เหตุการณ์และปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทยในสายตานักท่องเที่ยวจีนตอนนี้มีหลายเรื่อง ทั้งประเด็นการค้ามนุษย์ ภาพความไม่ปลอดภัยจากเหตุแผ่นดินไหว คดีฆาตกรรมสาว LGBTQ และประเด็นเกี่ยวกับคำว่าจีนเทา ทั้งหมดนี้ล้วนถูกนำมาขยายความ คอมเมนต์ และส่งต่อกันในโลกออนไลน์ สร้างความหวาดระแวงแก่นักท่องเที่ยวจีน เหมือนประเทศไทยกำลังเจอสงครามโซเชียลมีเดีย และน่ากังวลว่าจะเป็นน้ำผึ้งหยดเดียวที่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง
“ยอมรับว่าการบริหารจัดการสถานการณ์ในช่วงนี้เป็นเรื่องยากมาก ต้องเป็นระดับ G2G หรือระหว่างรัฐบาล โดยทางนายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวฯ จะเชิญรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวของจีน มาร่วมงานเฉลิมฉลองความสัมพันธ์ครบ 50 ปี ไทย-จีน ในเดือน ก.ค. 2568”
เร่งบูสต์ตลาดจีนหวั่นปีนี้ทรุดเหลือ 4-5 ล้านคน
นางสาวฐาปนีย์ กล่าวว่า สำหรับคาดการณ์นักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้าไทยตลอดปี 2568 หากสถานการณ์บานปลาย คาดว่าปีนี้ในกรณีเลวร้ายที่สุดจะเหลือ 4-5 ล้านคน แต่ถ้าสถานการณ์ยังคงที่ สามารถดึงบรรยากาศความเชื่อมั่นกลับมาได้ น่าจะผลักดันไปถึงจำนวน 6.7 ล้านคนเท่าปีที่แล้วได้
“สถานการณ์ตลาดจีนเที่ยวไทยช่วง 4 เดือนแรกปีนี้ หดตัวสูงสุด 30% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จึงจะเป็นต้องพยุงตลาดจีนเอาไว้ เพราะแม้ ททท.จะปรับแผนส่งเสริมตลาดระยะไกลจากยุโรปและตะวันออกกลาง ที่มีอัตราการเติบโตสูงมากมาทดแทน แต่ถ้าเกิดกรณีเลวร้ายสุดนักท่องเที่ยวจีนในปีนี้ลงมาเหลือ 4-5 ล้านคน รายได้จากตลาดระยะไกลก็ทดแทนไม่เพียงพอ”
ด้านภาพรวมนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทย คาดการณ์ว่าจะมีจำนวน 35.5 ล้านคน เท่ากับปีที่แล้ว สร้างรายได้จากตลาดต่างประเทศเติบโตไม่น้อยกว่า 10% เทียบกับฐานรายได้ 1.67 ล้านล้านบาทของปีที่แล้ว เพิ่มเป็น 1.83 ล้านล้านบาทในปีนี้ ส่วนตลาดนักท่องเที่ยวชาวไทย ตั้งเป้าเท่าเดิมที่จำนวน 205 ล้านคน-ครั้ง สร้างรายได้ตลาดในประเทศ 1.17 ล้านล้านบาท ทำให้เป้าหมายรายได้รวมทั้งตลาดในและต่างประเทศปีนี้อยู่ที่ 3 ล้านล้านบาท เท่ากับรายได้รวมปี 2562 ก่อนโควิดระบาด







