ส่องพฤติกรรมผู้บริหาร ต่อต้านความคล่องตัว | ก้าวไกลวิสัยทัศน์

ถ้าองค์กรมีคนเยอะแยะที่เอาแต่แสดงตัวเป็นผู้เชี่ยวชาญ วิจารณ์ไปได้ทุกเรื่อง ลงมือทำกันจริงๆ กลับทำไม่ได้ มักต่อต้านการร่วมคิด ตามสไตล์การจัดการแบบคล่องตัว
ถ้าล่องเรือไปในระหว่างที่มีพายุ กัปตันเรือต้องคล่องแคล่วเพียงพอ ที่จะปรับทิศทางการเดินเรือให้พ้นคลื่นลมไปได้ อาจจำเป็นถึงขั้นที่ต้องเปลี่ยนท่าเรือที่หมายปลายทางที่น่าจะปลอดภัยในการเดินเรือมากกว่าที่หมายเดิม หรือถ้ายังไม่ได้เริ่มเดินทางอาจต้องเลือกระหว่างเดินหน้า หรือหยุดรอไว้ก่อน
ถ้าต้องเดินทางกันจริงๆ อาจต้องเปลี่ยนเรือให้ใหญ่ขึ้นเพื่อให้สู้พายุได้อย่างมั่นใจ ถ้าไม่ยอมให้กัปตันมีความคล่องตัวในเรื่องเหล่านี้ มีตัวอย่างให้เคยเห็นกันแล้วว่าเรือรบลำใหญ่ ยังจมลงสู่ก้นทะเลเมื่อต้องเดินทางไปอย่างไร้ความคล่องตัว
กัปตันเรือเปรียบเหมือนผู้บริหาร ความคล่องตัวในการเดินเรือ คือความคล่องตัวในการจัดการ การเปลี่ยนทิศทางการเดินเรือ เทียบได้กับการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์
ถ้าเปลี่ยนท่าเรือปลายทางก็หมายถึงปรับเปลี่ยนวิสัยทัศน์ ถ้าเปลี่ยนเรือลำใหม่ก็เป็นการเปลี่ยน Business Model
การจัดการแบบคล่องตัว Agile Management น่าจะเป็นแนวทางการจัดการที่เหมาะอย่างยิ่งกับบริบทปัจจุบัน ที่รอบตัวผู้บริหารเหมือนมีพายุมาทุกทิศทุกทาง
แต่จะเปลี่ยนสไตล์การจัดการจาก ที่เอาแต่มีข้อสั่งการส่งต่อกันมาเป็นลำดับชั้น โดยที่ทิศทางไม่เปลี่ยน เป้าหมายไม่เปลี่ยน ไม่ว่ารอบตัวจะแตกต่างไปจากวันที่คิดเป้าหมาย คิดทิศทางไปมากมายแค่ไหน คิดกันแค่ว่า มีข้อสั่งการแล้ว ทุกอย่างต้องได้เหมือนเดิม
ในมุมมองของผู้บริหารแล้ว การจัดการแบบคล่องตัว (Agile Management) คือแนวทางการทำงานที่เน้นความยืดหยุ่น ปรับตัวรวดเร็ว และส่งมอบผลลัพธ์ที่มีคุณค่าอย่างต่อเนื่อง
โดยให้ความสำคัญกับการทำงานร่วมกันของทีม การรับฟังข้อเสนอแนะ และการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลง เพื่อให้องค์กรสามารถแข่งขันและเติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว
ซึ่งการให้ความสำคัญกับการทำงานร่วมกันของทีม โดยมีการรับฟังข้อเสนอแนะระหว่างกันให้สามารถแข่งขัน และเติบโตได้
ในขณะที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว Agile Management เพิ่มความคล่องตัวและผลิตภาพ จากการมีส่วนร่วมของทีมงาน ด้วยการมอบอำนาจให้ทีมที่ทำงานร่วมกันสามารถจัดการตนเองได้ สร้างความเป็นเจ้าของและสร้างแรงจูงใจกับทุกคนในทีม
และท้ายที่สุดคือเพิ่มผลิตภาพของทีม ผ่านการที่บุคลากรมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ ส่งผลให้มีการทุ่มเททำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
สไตล์การจัดการแบบนี้ ลดทอนบทบาทของกลุ่มคนที่อยู่ในช่วงบนของห่วงโซ่การจัดการแบบกำหนดข้อสั่งการ
ในสไตล์ของ Agile Management ทีมกำหนดข้อสั่งการหรือเป้าหมายของทีมร่วมกัน ไม่ใช่แค่มีใครสักคนมาลอยหน้าลอยตาป่าวประกาศว่าฉันมีข้อสั่งการไปแล้ว พร้อมกับมีคนที่สอง คนที่สามกระทำแบบเดียวกันต่อกันเป็นลำดับขั้น ลงไปจนถึงคนที่ลงมือทำงานนั้นจริง ๆ
นี่แหละ ที่สร้างให้เกิดการต่อต้านขึ้นในกลุ่มคนที่อยู่ในช่วงบนของห่วงโซ่การกำหนดข้อสั่งการ ต่อต้านความคล่องตัวของการทำงานในองค์กร เพราะความคล่องตัวลดทอนความสำคัญของบทบาทการกำหนดข้อสั่งการของตนเอง
Agile Management จึงเกิดขึ้นไม่ได้ในองค์กรที่ผู้บริหารวางตนอยู่เหนือทีม ชอบทำแค่กำหนดข้อสั่งการ แต่ไม่เคยร่วมคิดร่วมทำกับทีม
การกำหนดเป้าหมายของทีมร่วมกัน และการรับฟังข้อเสนอแนะระหว่างกันอย่างสม่ำเสมอ ช่วยให้สามารถระบุและลดความเสี่ยงได้ตั้งแต่เนิ่นๆ
ช่วยให้สามารถปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ได้อย่างรวดเร็ว เมื่อเผชิญกับความท้าทายที่ไม่คาดคิดหรือโอกาสใหม่ๆ ทำให้องค์กรจึงมีความยืดหยุ่นมากขึ้นในสภาพแวดล้อมที่ผันผวน
ซึ่งแต่เดิมบทบาทในการระบุความเสี่ยงและแนวทางในการลดความเสี่ยงมักเป็นของผู้เชี่ยวชาญ แต่ถ้าองค์กรมีคนเยอะแยะที่เอาแต่แสดงตัวเป็นผู้เชี่ยวชาญ วิจารณ์ไปได้ทุกเรื่อง ลงมือทำกันจริง ๆ ตามที่ตนเองวิพากษ์วิจารณ์ไว้ กลับทำไม่ได้
ผู้เชี่ยวชาญกิจกรรมวิจารณ์เหล่านี้มักต่อต้านการร่วมคิด ตามสไตล์การจัดการแบบคล่องตัว เพราะลดความสำคัญของคนวิจารณ์เก่ง แต่ไปให้ความสำคัญกับคนร่วมคิดร่วมทำกับทีมงาน ให้ความสำคัญน้อยลงกับฉลาดพูด แต่ไม่ฉลาดฟัง
ส่งเสริมความคล่องตัวในการจัดการด้วยการร่วมกันวางแผนด้วยทีมงาน แทนที่คนใดคนหนึ่งกำหนดข้อสั่งการ ทำงานด้วยกันแทนที่จะบังคับบัญชา ฉลาดฟังไม่น้อยกว่าฉลาดพูด Feedback อย่างตรงไปตรงมา แทนที่การทำรายงานสวยหรูส่งผู้บังคับบัญชา ให้ความสำคัญกับ Ecosystem แทนที่จะเป็น Ego ของตนเอง
ถ้าทำได้ตามนี้ การจัดการแบบคล่องตัวน่าจะได้รับการยอมรับจากคนทุกระดับในองค์กร มากกว่าที่จะอยู่กันแบบเดิม ๆ ที่พบแล้วว่ายิ่งทำก็ยิ่งแย่.







