'หมาล่า' อาจมาเร็วไปเร็ว! เจาะเหตุผลแบรนด์ใหญ่ไม่สนลงทุน

'หมาล่า' อาจมาเร็วไปเร็ว! เจาะเหตุผลแบรนด์ใหญ่ไม่สนลงทุน

จับตา "หมาล่า" ในตลาดไทย อาจเป็นเทรนด์ร้านอาหารที่มาเร็วไปเร็ว! สำรวจแบรนด์ใหญ่กลุ่ม "เซ็นกรุ๊ป" ไม่สนใจเข้ามาลงทุน ท่ามกลางธุรกิจอาหารแข่งรุนแรง ทุกระดับราคา

ท่ามกลางกระแสข่าวการเข้ามาของแบรนด์จีนในกลุ่มร้านอาหารจำนวนมากขึ้น มุ่งขยายในทำเลค้าปลีกหลายแห่ง โดยเฉพาะร้าน “หมาล่า” บุฟเฟต์หลากหลายสไตล์ ได้กลายเป็นร้านอาหารยอดฮิตของกลุ่มลูกค้าในไทย รวมถึงยังส่งผลให้ผู้ประกอบการอาหารหลายกลุ่มของไทย ได้เพิ่มเมนูอาหารในร้านที่เกี่ยวข้องกับหมาล่าเช่นกัน รองรับดีมานด์ของกลุ่มลูกค้า แต่ท่ามกลางการขยายตัวของอาหารหมาล่า ในอีกด้านก็เห็นแบรนด์ใหญ่มีการปิดสาขาไปเช่นกัน ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า ตลาดเฟื่องฟู หรือถึงจุดอิ่มตัวหรือยัง! อีกทั้งอาจหมายถึง การแข่งขันในตลาดที่สุดดุเดือด! ในสมรภูมิ เรดโอเชียน

 

 

“ชิตพล วิวัฒนาเกษม” รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มปฎิบัติการ บริษัท เซ็น คอร์ปอเรชั่น กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวถึง ภาพรวมธุรกิจร้านอาหารในไทย มีการแข่งขันรุนแรงในทุกปี และมีแบรนด์ใหม่ เข้ามาเปิดในประเทศไทย แต่ไม่ได้กระทบต่อบริษัท เนื่องจากกลุ่มเซ็น มีพอร์ตโฟลิโอสินค้าหลักในกลุ่มอาหารไทยและอาหารญี่ปุ่น ที่มีส่วนแบ่งการตลาดมากสุดในธุรกิจร้านอาหารในประเทศ

สำหรับการมีแบรนด์ “หมาล่า” เข้ามาในไทยจำนวนมาก และเปิดตามมุมเมืองต่างๆ บริษัทไม่ได้สนใจเข้าไปลงทุน เนื่องจากประเมินว่า หมาล่า อาจเป็นกลุ่มธุรกิจร้านอาหารที่มาเร็วและไปเร็ว โดยพฤติกรรมของผู้บริโภคในประเทศ ต่างให้ความสนใจไปทดลองทานในช่วงแรก ๆ เพื่อให้รู้ว่าเป็นอย่างไร แต่ปัจจุบันกระแสเริ่มลดลง ทำให้เห็นการปิดตัวในหลายทำเล แตกต่างจากที่ผ่านมามีการเปิดสาขาใหม่จำนวนมาก

ภาพรวมของกลุ่มเซ็น มีแบรน์ร้านอาหารในเครือรวม 10 แบรนด์หลัก ทั้งไทย และญี่ปุ่น โดยมีสาขารวม 317 สาขา แบ่งเป็นสาขาที่ลงทุนเอง 177 สาขา และสาขาแฟรนไชส์ 140 สาขา

สำหรับนโยบายของบริษัท ได้เน้นการบริหารแบรนด์ที่มีอยู่ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด โดย 10 แบรนด์ที่มีอยู่สามารถสร้างการเติบโตได้อีกมาก จึงไม่มีความสนใจเข้าไปลงทุนในธุรกิจร้านอาหารหมาล่า พร้อมกันนี้ได้มุ่งวางแผนธุรกิจอย่างรัดกุมและขยายแผนธุรกิจให้สอดคล้องกับสถานการณ์รวมถึงกำลังซื้อ

ทั้งนี้ จากการรายงานของ "ศูนย์วิจัยกสิกรไทย" ได้ประเมินต่อแนวโน้มธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่มในประเทศไทยช่วงปี 2568 มีมูลค่าตลาดประมาณ 6.57 แสนล้านบาท เติบโต 4.6% มีการเติบโตแบบชะลอตัวจากปีก่อน 

อีกทั้งธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่มในประเทศมีการแข่งขันรุนแรงในทุกระดับราคา โดยเมื่อเปรียบเทียบร้านอาหารของประเทศไทย มีความหนาแน่นของร้านอาหารต่อประชากรอยู่ที่ 9.6 ร้านต่อประชากร 1,000 คน ถือว่าอยู่ในระดับสูง

ส่วนจำนวนร้านอาหารและเครื่องดื่มในปีนี้ อยู่ที่ประมาณ 6.9 แสนร้าน โดยมีผู้ประกอบการรายใหม่ทั้งผู้ประกอบการรายใหญ่และผู้ประกอบรายเล็ก เข้ามาสนใจเข้ามาลงทุนตลอด ส่วนใหญ่คงเป็นกลุ่มร้านอาหารเอเชีย

ทั้งนี้เมื่อประเมินการเข้ามาลงทุนของต่างชาติในกลุ่มร้านอาหารและเครื่องดื่มของไทยที่มีมากขึ้น และมีมูลค่าการจดทะเบียนร้านอาหารและเครื่องดื่มมากขึ้น โดยจากการประเมินของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ระบุว่า มูลค่าการทะเบียนในกิจการร้านอาหารของต่างชาติในไทย ช่วงปี 2567 ที่ผ่านมา

  • บริษัทไทยมีมูลค่าทุนจดทะเบียน 8,602 ล้านบาท
  • อันดับสอง ประเทศจีน มีทุนจดทะเบียน 549 ล้านบาท
  • อันดับสาม ญี่ปุ่น มีทุนจดทะเบียน 221 ล้านบาท
  • อันดับสี่ ฝรั่งเศส มีทุนจดทะเบียน 135 ล้านบาท
  • อันดับห้า เกาหลีใต้ มีทุนจดทะเบียน 108 ล้านบาท 

แต่ธุรกิจมีการแข่งขันที่รุนแรงจึงมีผู้ประกอบการที่เปิดตัวร้านอาหารและผู้ประกอบการที่ปิดตัวไป และในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2567 ที่ผ่านมา ร้านอาหารมีการจดทะเบียนยกเลิกธุรกิจ เพิ่มขึ้นถึง 89%

อย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุดแล้ว ! เมื่อประเมินภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปีนี้ มีการเปลี่ยนแปลงไป ทั้งจากปัจจัยกระทบจากสงครามการค้าในโลก การขึ้นภาษีระหว่างสหรัฐและจีน รวมถึงสหรัฐประกาศเตรียมขึ้นภาษีไทย 36% ต่างมีผลต่อธุรกิจร้านอาหาร อีกทั้งยังมีแรงกดดันจากนักท่องเที่ยวที่ไม่เหมือนเดิม จึงต้องติดตาม ทำให้ ทิศทางของร้านอาหาร หมาล่า ในไทย จะแข่งขันและปรับแผนสร้างการเติบโตอย่างไรต่อไป