วิกฤติ ‘จีนเที่ยวไทย’ เข้าไอซียู ‘แอตต้า’ ชงงบเร่งฟื้นกรุ๊ปทัวร์-บินเหมาลำ

“ธนพล” นายกใหม่สมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว ประเมินวิกฤติหนัก “จีนเที่ยวไทย” เหมือนอยู่ห้องไอซียู แนวโน้มคนจีนเที่ยวต่างประเทศปี 2568 ฟื้นแตะ 155 ล้านคน เท่าปี 2562 ก่อนโควิด แต่เลือกไม่มาไทย หลังอันดับร่วงหลุดโผ 5 เดสติเนชันที่คนจีนอยากไปมากสุด เพราะปัญหาเชื่อมั่นด้านความปลอดภัย หายไป 4-5 ล้านคนจากเคยได้หลัก 10 ล้านคนเมื่อปีก่อนโควิด เสนอของบ 320 ล้านบาท กระตุ้นชาร์เตอร์ไฟลต์จาก 20 เมืองรองในจีน พร้อมดึงเอเย่นต์ทัวร์และสื่อจีนสำรวจสินค้าท่องเที่ยว ด้าน “ททท.” ขอพลิกวิกฤติเป็นโอกาส ปรับกลยุทธ์เร่งโกย 24 ตลาดระยะใกล้และไกลกลุ่่มเติบโตสูง ชดเชยตลาดจีน
KEY
POINTS
- “ธนพล” นายกใหม่สมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) ประเมินวิกฤติหนัก “จีนเที่ยวไทย” เหมือนอยู่ห้องไอซียู
- แนวโน้มคนจีนเที่ยวต่างประเทศปี 2568 ฟื้นแตะ 155 ล้านคน เท่าปี 2562 ก่อนโควิด แต่เลือกไม่มาไทย หลังอันดับร่วงหลุดโผ 5 เดสติเนชันที่คนจีนอยากไปมากสุด เพราะปัญหาเชื่อมั่นด้านความปลอดภัย หายไป 4-5 ล้านคนจากเคยได้หลัก 10 ล้านคนเมื่อปีก่อนโควิด
- “แอตต้า” เสนอของบ 320 ล้านบาท กระตุ้นชาร์เตอร์ไฟลต์จาก 20 เมืองรองในจีน พร้อมดึงเอเย่นต์ทัวร์และสื่อจีนสำรวจสินค้าท่องเที่ยว
- ด้าน “ททท.” ขอพลิกวิกฤติเป็นโอกาส ปรับกลยุทธ์เร่งโกย 24 ตลาดระยะใกล้และไกลกลุ่มเติบโตสูง ชดเชยตลาดจีน
จากผลการสำรวจของไชน่า เทรดดิ้ง เดสก์ (China Trading Desk) เกี่ยวกับจุดหมายปลายทางที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวจีนมากที่สุดในไตรมาส 1 ปี 2568 พบว่า อันดับของประเทศไทยร่วงลงมาอยู่อันดับ 7 รองจากสิงคโปร์ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ มาเลเซีย และยุโรป จากเคยได้อันดับ 4 เมื่อไตรมาส 4 ปี 2567
สะท้อนถึงปัญหาความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยที่ชาวจีนยังคลางแคลงใจ และภาพการแข่งขันชิงนักท่องเที่ยวจีนจากประเทศต่างๆ ทั่วโลก ขณะที่ซัพพลายด้านการท่องเที่ยวของไทย ในมุมผู้ประกอบการมองว่ายังคงกินบุญเก่า ไม่ทันประเทศอื่นๆ
นายธนพล ชีวรัตนพร นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) คนใหม่ เปิดเผยว่า การท่องเที่ยวของประเทศจีนคาดการณ์ว่าในปี 2568 จะมีชาวจีนเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศฟื้นตัวสู่ระดับ 155 ล้านคน เทียบเท่าปี 2562 ก่อนโควิด-19 ระบาด ซึ่งเป็นปีทองของตลาดนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้าไทยสูงสุดเป็นประวัติการณ์ 11 ล้านคน ขณะที่ปีนี้มีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้าไทยไตรมาส 1 สะสมเพียง 1.33 ล้านคนเท่านั้น จึงประเมินเบื้องต้นว่าตลอดปีนี้อาจจะมีนักท่องเที่ยวจีนไม่ถึง 6 ล้านคน
“แอตต้ามองว่าสถานการณ์ตลาดจีนเที่ยวไทยตอนนี้ เหมือนอยู่ห้องไอซียู ต้องเร่งรักษา เพราะอาการหนักมากเมื่อเทียบกับช่วงโควิดระบาด เพราะตอนนั้นออกเดินทางไปไหนไม่ได้ แต่ตอนนี้เดินทางได้ ประเด็นคือนักท่องเที่ยวจีนไม่มา ขนาดขายทัวร์ไฟไหม้ลดราคาพิเศษแล้ว ก็ยังไม่มาเที่ยวไทย ต่างจากอดีตที่เคยได้ 10 ล้านคนต่อปี หากปีนี้หายไป 4-5 ล้านคน ถือว่าไม่น้อย แม้ว่ายอดตลาดอื่นๆ อย่างตลาดระยะไกล (Long-haul) มันขึ้นหมดก็จริง แต่การเดินกลยุทธ์หาตลาดอื่นมาทดแทนนักท่องเที่ยวจีนอาจจะไม่เพียงพอ และการปล่อยให้นักท่องเที่ยวจีน 4-5 ล้านคนหายไปเลย ก็ทำไม่ได้”
โฮลเซลโหมขายแพ็กเกจทัวร์ญี่ปุ่น-เวียดนาม
ทั้งนี้ แอตต้ากับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้วิเคราะห์สถานการณ์ร่วมกันเกี่ยวกับปัจจัยหลักที่ส่งผลกระทบต่อการลดลงของตลาดนักท่องเที่ยวจีน พบว่าอันดับ 1 กังวลเรื่องความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัย ส่งผลให้ตลาดเงียบ ส่วนอันดับ 2 คือประเด็นทางการเมืองที่มองไม่เห็น เช่น คำว่า จีนเทา ในโซเชียลมีเดีย ส่งผลเชิงจิตวิทยา ทำให้คนไทยรู้สึกต่อต้านนักท่องเที่ยวจีน และอันดับ 3 ประเทศคู่แข่งต่างๆ เช่น ญี่ปุ่น และเวียดนาม ทำการตลาดดึงนักท่องเที่ยวจีนเก่งขึ้นมาก
“ตอนนี้บริษัทโฮลเซลหันไปขายแพ็กเกจทัวร์ญี่ปุ่นกับทัวร์เวียดนามเพราะได้กำไรดีกว่าและขายง่ายกว่า ขณะที่แพ็กเกจทัวร์ไทยซบเซา มองไม่เห็นอนาคต สายการบินเองก็ขนคนลดลง ทางเอเย่นต์ทัวร์และลูกค้าในจีนถามมาว่าประเทศไทยปลอดภัยแล้วหรือยัง หลังเกิดปัญหาความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยเมื่อต้นปี และเหตุแผ่นดินไหวเมื่อปลายเดือน มี.ค. ซึ่งมีภาพตึกถล่มไวรัลทั่วโลกโซเชียล แม้ว่าตอนนี้สถานการณ์จะกลับสู่ภาวะปกติแล้ว แต่คนจีนไม่ได้รับรู้ส่วนนี้ รู้แค่ว่ามีตึกถล่ม จึงไม่มั่นใจในการเดินทางมาไทย”
ธนพล ชีวรัตนพร
“แอตต้า” ชงของบฯ บูสต์ตลาดจีน 320 ล้านบาท
นายธนพล กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับแผนระยะสั้นในการฟื้นฟูตลาดนักท่องเที่ยวจีน แอตต้าจะเสนอโครงการกับ ททท.เพื่อของบประมาณจากรัฐบาล รวม 2 โครงการเพื่อกระตุ้นตลาดจีน วงเงินรวม 320 ล้านบาท ได้แก่ โครงการสนับสนุนเที่ยวบินเช่าเหมาลำ (ชาร์เตอร์ไฟลต์) วงเงิน 300 ล้านบาท เพื่อดึงนักท่องเที่ยวกรุ๊ปทัวร์จีนจาก 20 เมืองรองในจีน จำนวน 1,000 เที่ยวบิน เฉลี่ยขนผู้โดยสารไม่น้อยกว่า 150 คนต่อเที่ยวบิน คิดเป็นจำนวนผู้โดยสาร 150,000 คนในช่วง 3 เดือนของโครงการ ด้วยการให้เงินสนับสนุน 3.5-4.5 แสนบาทต่อเที่ยวบิน พร้อมกำหนดเงื่อนไขต้องพักในไทยไม่น้อยกว่า 4-5 คืน
“ตลาดชาร์เตอร์ไฟลต์เส้นทางจีนหายไป 20% ตั้งแต่เกิดกรณีซิงซิงถูกลักพาตัวบริเวณชายแดนไทย-เมียนมา เลยมองว่าต้องเร่งทำตลาดดึงกรุ๊ปทัวร์จีนจากเมืองรองโดยด่วน”
อีกโครงการเป็นเมกะแฟมทริป (Mega Fam Trip) วงเงิน 20 ล้านบาท เชิญผู้ประกอบการเอเย่นต์ทัวร์จีน 300 คน และสื่อมวลชนกับอินฟลูเอนเซอร์จีนอีก 100 คน เพื่อมาสำรวจบรรยากาศและสินค้าการท่องเที่ยวในไทย เพื่อฟื้นความเชื่อมั่น เพื่อให้ผู้ประกอบการและสื่อมวลชนได้เผยแพร่ข้อเท็จจริงให้ชาวจีนรับรู้ สร้างความมั่นใจว่าประเทศไทยปลอดภัย โดยแอตต้าเตรียมเชิญนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มาร่วมเปิดพิธีต้อนรับกลุ่มผู้ประกอบการและสื่อมวลชนดังกล่าว ตอกย้ำว่ารัฐบาลให้ความสำคัญกับนักท่องเที่ยวจีน
นอกจากนี้ กระทรวงมหาดไทย โดยองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ซึ่งมีงบประมาณเพียงพอที่จะพาผู้ประกอบการในพื้นที่ไปทำการตลาดในเมืองจีน เพื่อทำการแลกเปลี่ยนท่องเที่ยวระหว่างกัน ก็จะเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยกระตุ้นตลาดจีนได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ททท.ปรับกลยุทธ์ดึง 24 ตลาดชดเชยจีน
นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการ ททท. เปิดเผยว่า ททท.ขอใช้วิกฤติเป็นโอกาส ด้วยการปรับกลยุทธ์เร่งผลักดันนักท่องเที่ยวจากนักท่องเที่ยวตลาดที่มีแนวโน้มการเติบโตสูง และเป็นตลาดนักท่องเที่ยวคุณภาพ เพื่อมาชดเชยนักท่องเที่ยวตลาดจีนที่มีแนวโน้มหดตัวลงในปีนี้ตามนโยบายของรัฐบาล ถือเป็นการปรับโครงสร้างการท่องเที่ยวของไทยครั้งใหญ่
โดยเน้นการเพิ่มจำนวนของตลาดนักท่องเที่ยวกลุ่มพักผ่อนเชิงคุณภาพ (Quality Leisure) กลุ่มครอบครัว (Family) และกลุ่มเดินทางเพื่อเป็นรางวัล (Incentive) ในตลาดระยะไกล 15 ตลาด ได้แก่ ยุโรป (อังกฤษ เยอรมนี อิตาลี อิสราเอล สวีเดน สวิตเซอร์แลนด์ นอร์เวย์ และออสเตรีย) อเมริกา (อาร์เจนตินา และบราซิล) โอเชียเนีย (ออสเตรเลีย) ตะวันออกกลาง (ซาอุดีอาระเบีย คูเวต) และแอฟริกา (แอฟริกาใต้) และตลาดระยะใกล้ 9 ตลาด ได้แก่ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย อินเดีย และศรีลังกา
“แนวโน้มการจองบัตรโดยสารเครื่องบินล่วงหน้าในการเดินทางเข้าประเทศไทยช่วงเดือน เม.ย.-มิ.ย.ของกลุ่มตลาดระยะไกลยังมีแนวโน้มสดใส โดยเฉพาะตลาดสหราชอาณาจักร อิตาลี สเปน อิสราเอล รัสเซีย”
ฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์
โกยทัวริสต์ทุกกลุ่มใช้จ่ายสูง
ต่อจากนี้ ททท.จะขยายการเติบโตของตลาดกลุ่มเป้าหมายท่องเที่ยวมูลค่าสูง (High Value) ซึ่งมีการใช้จ่ายสูง อาทิ กลุ่มท่องเที่ยวเชิงการแพทย์และสุขภาพ (Health & Wellness) อาทิ นวดแผนไทย สปา โยคะ อาหารสุขภาพ และโปรแกรมสุขภาพประเภทต่างๆ ซึ่งเป็นที่นิยมในกลุ่มนักท่องเที่ยวยุโรป ตะวันออกกลาง อาเซียน และจีน กลุ่มเรือยอชต์และซูเปอร์ยอชต์ สำหรับตลาดยุโรป ออสเตรเลีย และเอเชียแปซิฟิก กลุ่มกีฬาและเอนเตอร์เทนเมนต์ (Sport and Entertainment) โดยมีกีฬาที่จะส่งเสริม อาทิ กอล์ฟ มาราธอน วิ่งเทรล มวยไทย ดำน้ำ จักรยาน ในตลาดรัสเซีย ยุโรป อเมริกา ออสเตรเลีย จีน เกาหลี ญี่ปุ่น และกลุ่มดิจิทัล นอแมด (Digital Nomad) และกลุ่มเที่ยวไปด้วยทำงานไปด้วย (Workation) ซึ่งมีหลายเมืองที่นักท่องเที่ยวให้ความนิยม เช่น เชียงใหม่ กรุงเทพฯ ภูเก็ต เกาะสมุย หัวหิน และกระบี่
ทั้งนี้จากสถิติสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-21 เม.ย. 2568 นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยแล้ว 11.35 ล้านคน พบว่าตลาดนักท่องเที่ยวระยะไกลมีแนวโน้มการเติบโตแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2567 ทั้งตลาดนักท่องเที่ยวหลักและตลาดศักยภาพใหม่ อาทิ อิสราเอล 131,958 คน (+97.43%) อิตาลี 114,808 คน (+28.6%) ฝรั่งเศส 364,262 คน (+22.65%) สหราชอาณาจักร 423,324 คน (+20.61%) เนเธอร์แลนด์ 94,074 คน (+17.88%) สเปน 52,629 คน (+17.75%) ออสเตรเลีย 255,420 คน (+16.85%) รัสเซีย 839,463 (+15.41%) ซาอุดีอาระเบีย 43,356 คน (+15.26%) เยอรมนี 407,378 คน (+13.14%) และสหรัฐฯ 379,472 คน (+12.83%) โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากจำนวนที่นั่งบนเครื่องบินเพิ่มขึ้น จากความร่วมมือกับสายการบินระหว่างประเทศให้เพิ่มความถี่เที่ยวบิน รวมถึงขยายเส้นทางบินใหม่ทั้งจากเมืองหลักและเมืองรองในต่างประเทศสู่ไทย
สำหรับหลายประเทศในยุโรปเตรียมเพิ่มเที่ยวบินตรงเข้าประเทศไทยในช่วงปลายปีที่แล้วจนถึงต้นปีที่ผ่านมา อาทิ สายการบิน Alitalia เส้นทางอิตาลี - กรุงเทพฯ สายการบิน Condor เส้นทางแฟรงก์เฟิร์ต – กรุงเทพฯ และภูเก็ต สายการบิน Evelop Airline S.L. เส้นทางมาดริด – กรุงเทพฯ สายการบิน Air Celedonie International เส้นทางปารีส – กรุงเทพฯ และการเพิ่มความถี่เที่ยวบิน อาทิ สายการบิน Iberojet เส้นทางมาดริด-กรุงเทพฯ สายการบิน Norse Atlantic Airways เส้นทางลอนดอน (แกตวิก) – กรุงเทพฯ เป็นต้น