4 ยักษ์ค้าปลีกวัสดุก่อสร้าง โฮมโปร-ไทวัสดุ-GLOBAL-NITORI เร่งชิงทำเลทอง

ค้าปลีกกลุ่มวัสดุก่อสร้าง-เฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้าน มองสวนตลาด เร่งเครื่องธุรกิจปี 2568 ทั้ง โฮมโปร เร่ง 12 สาขา, ไทวัสดุ คาดใกล้เคียง 10 สาขา, โกลบอลเฮ้าส์ 9 สาขา , นิโตริ 2 สาขา
สำรวจการลงทุนของ "ค้าปลีกกลุ่มวัสดุก่อสร้าง เฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้าน" ในประเทศไทยปี 2568 ยังไปต่อเนื่อง สวนทางตลาดอสังหาริมทรัพย์ของไทยอยู่ในช่วงขาลง ตามกำลังซื้อและการลงทุนในตลาดที่ซบเซา รวมถึงการเปิดโครงการบ้านใหม่ที่หดตัว เนื่องจากผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ต้องการเร่งระบายสต็อกโครงการเดิมที่มีอยู่ แต่ตลาดที่มีแนวโน้มขยายตัวคือ กลุ่มตลาดตกแต่งและซ่อมแซมบ้าน
ดังนั้นผู้ประกอบการค้าปลีกยักษ์ใหญ่ในประเทศไทย ที่มองแตกต่างจากผู้ประกอบการกลุ่มอื่น ทำให้เป็นปีที่เน้นการลงทุนขยายธุรกิจ เนื่องจากแต่ละบริษัทมุ่งแผนลงทุนระยะยาว รวมถึงประเมินว่าการลงทุนในจังหวะนี้อาจความเหมาะสมกว่าปีอื่นๆ จากต้นทุนการดำเนินธุรกิจที่ต่ำกว่าที่ผ่านมา
สำหรับแบรนด์ใหญ่ที่ประกาศแผนลงทุนใหม่ในปี 2568 ประกอบด้วย โฮมโปร, ไทวัสดุ, โกลบอลเฮ้าส์ และนิโตริ
ทั้งนี้ภาพรวมค้าปลีกกลุ่มก่อสร้างและสินค้าตกแต่งบ้านทั่วประเทศ รวมทั้งรายใหญ่ รายกลาง รายเล็ก ของไทย จากการวิเคราะห์ของ ดร.ฉัตรชัย ตวงรัตนพันธ์ รองประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย ระบุว่า ธุรกิจกลุ่มนี้มีมูลค่าประมาณ 1.2 ล้านล้านบาท และภาพรวมค้าปลีกรายใหญ่กลุ่มวัสดุก่อสร้าง 4 บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มีส่วนแบ่งการตลาดรวม 15-20% ของตลาดรวมค้าปลีกวัสดุก่อสร้างโดยรวม
อย่างไรก็ตาม จากการสำรวจแผนของแต่ละบริษัทที่ได้ประกาศการลงทุนในปี 2568 มีทั้ง
โฮมโปร โหมขยายทำเลทอง 12 สาขา
สำหรับ โฮมโปร โดย บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) ได้ประกาศแผนขยายสาขาใหม่ในปี 2568 รวม 12 สาขาทั่วประเทศ ทั้งสาขาที่เป็น โฮมโปร มุ่งเจาะกลุ่มเป้าหมายลูกค้าบ้านเก่าและบ้านใหม่ ส่วน “เมกาโฮม” เน้นลูกค้าช่างและผู้รับเหมา อีกทั้งวางแผนขยายสาขาในรูปแบบ “ไฮบริดสโตร์” รวมโฮมโปรและเมกาโฮมไว้ในที่เดียว
ทั้งนี้ภาพรวมแผนการขยายสาขาใหม่ในปีนี้ 2568 มีจำนวนมากกว่าปีก่อน 2567 ที่มีการเปิดสาขาใหม่รวม 9 สาขา
นอกจากการเร่งขยายสาขาแล้ว ทางด้านแผนการตลาดได้มุ่งจัดทำแอปพลิเคชัน “CHANG HomePro” และขยายสู่การจัดทำ “ช่างโฮมโปร” ที่เปิดให้บริการได้ 24 ชั่วโมง ซึ่งพร้อมเปิดให้บริการช่วงกลางปี 2568 รองรับความต้องการของกลุ่มลูกค้าที่ต้องการบริการอย่างรวดเร็ว และการซ่อมแซมบ้านอย่างเร่งด่วน เป็นไปตามแผนของบริษัทในการมุ่งเป็น Home Solution & Living Experience ให้แก่ลูกค้ามากกว่าขายสินค้า
“วีรพันธ์ อังสุมาลี" กรรมการผู้จัดการ บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ “โฮมโปร” กล่าวว่า ท่ามกลางตลาดค้าปลีกบ้านในปีนี้มีการแข่งขันสูง สิ่งสำคัญคือ ต้องมีการปรับตัวและปรับธุรกิจให้เข้าใจกลุ่มลูกค้ามากที่สุด ทำให้บริษัทได้มุ่งเน้นการเป็น “ศูนย์รวมสินค้าและบริการเรื่องบ้านครบวงจร”
ทางด้านแผนของโฮมโปรที่ได้ประกาศไว้ บริษัทได้เตรียมใช้งบลงทุน 6,000-7,000 ล้านบาทในการขยายสาขา และขยายคลังสินค้าเพิ่มเติมใน วังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ที่มีการคลังใหม่แห่งที่ 7 หรือ เรียกว่า คลังสินค้าหุ่นยนต์ ส่วนปัจจุบันบริษัทมีสาขาทั้งหมดกว่า 136 สาขา โดยโฮมโปร ขนาดพื้นที่ 7,000-8,000 ตร.ม. สินค้าจำนวน 4 หมื่นรายการ และ เมกาโฮม สินค้าจำนวน 6-8 หมื่นรายการ มีขนาดพื้นที่ 13,000-15,000 ตร.ม. ส่วนในมาเลเซีย มีโฮมโปร ทั้งหมด 7 สาขา
อีกทั้งบริษัทประเมินว่าภายใน 5 ปีนับจากนี้ หรือในช่วงปี 2572-2573 บริษัทจะสามารถสร้างผลประกอบการโดยรวมถึงระดับ 1 แสนล้านบาทได้ตามเป้าหมายที่วางไว้
ไทวัสดุ คาดเปิดใกล้เคียง 10 สาขา
ทางด้าน ไทวัสดุ จาก บริษัท ซีอาร์ซี ไทวัสดุ จำกัด ในเครือเซ็นทรัล รีเทล ได้มุ่งเดินหน้าขยายธุรกิจในปี 2568 โดยเตรียมเปิดสาขาใหม่ใกล้เคียง 10 สาขา เน้นโมเดลสาขาในแบบ ไวท์ ฟอร์แมท (White Format) รวมทั้ง "ไทวัสดุ x บีเอ็นบี โฮม" หรือเรียกได้ว่าเป็น "ไฮบริดสโตร์" วางให้เป็นศูนย์รวมวัสดุก่อสร้าง เครื่องมือช่าง สินค้าโครงสร้าง เครื่องใช้ไฟฟ้า เฟอร์นิเจอร์ และสินค้าตกแต่งบ้าน มาไว้ที่เดียวกัน ส่วนงบการเปิดสาขา จะอยู่ที่ประมาณ 500 ล้านบาทต่อสาขา
ทั้งนี้สาขารูปแบบ ไวท์ ฟอร์แมท (White Format) มุ่งทำเลหัวเมืองขนาดใหญ่ มีขนาดใหญ่ พื้นที่กว่า 20,000 ตร.ม. พร้อมสินค้ากว่า 50,000 รายการ ทั้งสินค้าวัสดุก่อสร้าง และของตกแต่งบ้าน รวมถึงเน้นความพรีเมียม
ส่วนกลยุทธ์การตลาด เน้นรุกทั้งออนไลน์และออฟไลน์ รวมถึงมุ่งบริการหลังการขาย และบริการดูแลบ้านเช่นกัน การจัดทำบริการส่งฟรี 40 กม. (Free Delivery), การจัดส่งสินค้าภายใน 2 ชั่วโมง (Express Delivery) การบริการจัดส่งภายในวัน และวันถัดไป อีกทั้งได้เน้นกลยุทธ์ทางด้านราคา มาดึงดูดกลุ่มลูกค้า
ทางด้าน “สุทธิสาร จิราธิวัฒน์" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีอาร์ซี ไทวัสดุ จำกัด ในเครือเซ็นทรัล รีเทล ประเมินไว้ว่า ภาพรวมค้าปลีกกลุ่มวัสดุก่อสร้างและตกแต่งบ้าน มีผู้ประกอบการแบรนด์หลักในตลาด 4 ราย และตลาดมีการแข่งขันอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นการมีโมเดล ไวท์ ฟอร์แมท (White Format) จึงต้องการให้เป็น เกมเชนเจอร์ เข้ามาร่วมเปลี่ยนโฉมตลาดค้าปลีกวัสดุก่อสร้างและสินค้าตกแต่งบ้าน อีกทั้งโมเดลใหม่นี้ สร้างยอดขายสูงถึง 30% ในช่วงที่ผ่านมา
ขณะที่ผลการดำเนินงานในปี 2567 สร้างยอดขายรวมกว่า 4 หมื่นล้านบาท ถือว่าสร้างผลประกอบการที่นิวไฮ ส่วนสาขาไทวัสดุ ทั่วประเทศมีประมาณ 103 สาขา
โกลบอลเฮ้าส์ รุกหนักขยายเพิ่ม 9 สาขา
ทางด้าน โกลบอลเฮ้าส์ โดย บริษัท สยาม โกลบอลเฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ในปี 2568 ได้ประกาศแผนกับนักลงทุน ต้องการเปิดเพิ่ม 9 สาขา โดยสาขาใหม่ที่เปิดเพิ่มมีทั้ง ทั้งจังหวัดนราธิวาส, สาขาบ้านดุง อุดรธานี, สาขาเวียงสา น่าน, สาขาแม่สอด ตาก และ สาขาอรัญประเทศ สระแก้ว เป็นต้น
อีกทั้งมีสาขาที่เตรียมรีโนเวทในไทย จำนวน 10 สาขา ส่วนธุรกิจที่ต่างประเทศ มีแผนเปิดเพิ่มในประเทศอินโดนีเซีย จำนวน 2 สาขา
ขณะเดียวกันเมื่อประเมินภาพรวมการเปิดสาขาใหม่ในประเทศไทยปีนี้ ถือว่าเป็นการเร่งขยายสาขามากกว่าในปีก่อน ที่มีการเปิดเพิ่มจำนวน 7 สาขา พร้อมมุ่งดิจิทัล ทรานฟอร์เมชัน และการบริหารจัดการซัพพลายเชน เพื่อให้ตรงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายหลักมีทั้งกลุ่ม ลูกค้าทั่วไป กลุ่มช่าง กลุ่มผู้รับเหมาขนาดเล็กและขนาดกลาง ร้านวัสดุ ก่อสร้างขนาดเล็ก และโครงการก่อสร้างอาคารและที่พักอาศัย
ขณะที่แผนการตลาดได้มุ่งจัดทำโปรโมชั่นผ่านการทำแคมเปญการตลาดร่วมกับบัตรเครดิต ทั้งการชูการผ่อนสินค้าวัสดุตกแต่งบ้านและเครื่องใช้ไฟฟ้า นานถึง 10 เดือน ส่วนโครงสร้าง 4 เดือน รวมถึงการให้รางวัลลุ้นชิงโชค เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อ และเพิ่มยอดขายตลอดปี
ภาพรวมโกลบอลเฮ้าส์ มีสาขาในไทย 90 สาขา กัมพูชา 2 สาขา ส่วนบริษัทร่วม มีสาขาใน ลาว 8 สาขา ,พม่า 12 สาขา และ อินโดนีเซีย 16 สาขา
นิโตริ สยายปีกสู่ภาคตะวันออกครั้งแรก ชลบุรี เจาะ "Little Osaka"
นิโตริ (NITORI) แบรนด์เฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านจากญี่ปุ่นรายใหญ่ แต่ไม่ได้มีสินค้าวัสดุก่อสร้าง ได้เข้ามารุกเข้ามาเปิดสาขาในไทยครั้งแรก ที่ศูนย์การเซ็นทรัลเวิลด์ ตั้งแต่ปี 2566 โดยได้ขยายสาขาใหม่มุ่งทำเลยุทธศาสตร์ ศูนย์การค้าใจกลางเมือง กทม. แต่ในปี 2568 ขยายธุรกิจครั้งใหม่ มุ่งพื้นที่ภาคตะวันออกสู่เมืองท่องเที่ยว “ชลบุรี” นับเป็นการขยายสาขาสู่ตลาดต่างจังหวัดเป็นครั้งแรก ทั้ง ศูนย์การค้าเซ็นทรัล พัทยา และเซ็นทรัล ศรีราชา
ทั้งนี้การขยายสู่ภาคตะวันออก มาจากการเป็นทำเลหลักทั้งการท่องเที่ยว และพื้นที่เศรษฐกิจภาคตะวันออก อีอีซี (EEC) ที่มีการขยายตัวรวดเร็ว โดยสาขาของนิโตริ ที่เซ็นทรัล พัทยา และเซ็นทรัล ศรีราชา มีสินค้ากว่า 4,300 รายการ เน้นกลุ่มสินค้าของตกแต่งบ้าน (Home Décor) ที่ผสมความมินิมอล และความเป็นญี่ปุ่น พร้อมมุ่งเน้นราคาที่จับต้องได้
ดร.ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา กรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา กล่าวว่า นิโตริ ได้เข้ามาเปิดสาขาแรกในไทยที่ เซ็นทรัลเวิลด์ และขยายสาขาที่เซ็นทรัลเวสต์เกต ต่อมาในปีนี้ได้ขยายไปสู่ เซ็นทรัล พัทยา และเซ็นทรัล ศรีราชา ตามดีมานด์ที่กำลังขยายตัว
สำหรับจังหวัดชลบุรี และพัทยา เป็นเมืองภาคตะวันออกมีศักยภาพสูง มาจากการมีเม็ดเงินลงทุนของภาครัฐและเอกชน รวมถึงการท่องเที่ยวขยายตัว โดยประเมินการท่องเที่ยวในปี 2568 จ.ชลบุรี จะเติบโต 25% จากปีก่อน ที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาในพื้นที่ตลอดทั้งปี 2567 จำนวน 35.54 ล้านคน สร้างรายได้รวม 1.67 ล้านล้านบาท นอกจากนี้ มีชาวญี่ปุ่นกลุ่ม Expat อยู่ในพื้นที่อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี จำนวนกว่า 1 หมื่นคน ซึ่งในพื้นที่มีนิคมอุตสาหกรรมกว่า 10 แห่ง และโรงงานมากกว่า 1,300 แห่ง ส่งผลให้ อำเภอศรีราชาได้รับการขนานนามว่า "Little Osaka" และมีความต้องการสินค้าตกแต่งบ้านจากชาวญี่ปุ่นจำนวนมาก
อย่างไรก็ตาม ภาพรวม นิโตริมีสาขาในไทย ทั้งหมด 10 สาขา ประกอบด้วย เซ็นทรัลเวิลด์, ซีคอน บางแค, เซ็นทรัลเวสต์เกต, เดอะมอลล์ ไลฟ์สโตร์ บางกะปิ, ไอคอนสยาม, วัน แบงค็อก, ฟิวเจอร์พาร์ค, ซีคอนสแควร์ ศรีนครินทร์ ล่าสุด สองสาขาใหม่ที่เซ็นทรัล พัทยา และเซ็นทรัล ศรีราชา