วัยรุ่นเชียงใหม่ ไม่กินข้าวซอยแล้ว ‘ข้าวโซอิ’ จึงเกิดขึ้น ปีนี้มี 6 สาขา เปิดที่ ‘ลอนดอน’ ด้วย

ถ้าราเมน-ซูชิ ขายแพงได้ ทำไม “ข้าวซอย” จะทำไม่ได้! คุยกับ “วิน ศรีนวกุล” ผู้ก่อตั้ง “ข้าวโซอิ” ร้านข้าวซอยฟิวชันผสานรสชาติอาหารเหนือ แจ้งเกิดจากเชียงใหม่จนดังไกลถึงกรุงเทพฯ ปีนี้ตั้งเป้าเปิดให้ครบ 6 สาขา วางแผนสยายปีกที่ “ลอนดอน” เต็มรูปแบบภายในปีนี้
KEY
POINTS
- “ข้าวโซอิ” ร้านข้าวซอยฟิวชันที่ผสานวัตถุดิบแบบข้าวซอยทางเหนือ และนำเสนอสไตล์ญี่ปุ่น ตามความถนัดของ “วิน ศรีนวกุล” ทำให้ร้าวข้าวโซอิใช้เวลาเพียงไม่นานก็ได้รับการพูดถึงเป็นวงกว้าง กลายเป็นเดสทิเนชันที่นักท่องเที่ยวต้องมากินให้ได้สักครั้ง
- เจ้าของร้านเป็นอดีตซูชิเชฟที่สหรัฐ ตัดสินใจกลับมาที่บ้านเกิดจังหวัดเชียงใหม่เพื่อทำธุรกิจ เขามองหาสิ่งใกล้ตัว จนสะดุดกับ “ข้าวซอย” ที่มูลค่าอาหารหยุดอยู่ที่เดิม ต่างจาก “ซูชิ” หรือ “แฮมเบอร์เกอร์”
- เป้าหมายสูงสุดของ “ข้าวโซอิ” คือการเอาอาหารไทยไปอยู่บนเวทีโลก ซึ่งเมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา “วิน” นำข้าวซอยไปตั้งอยู่ใจกลางกรุงลอนดอนได้สำเร็จ และในปีนี้เตรียมเปิดร้านที่ต่างแดนอย่างเป็นทางการด้วย
“ข้าวซอย” เคยติดท็อปลิสต์เมนูซุปที่ดีที่สุด จากการจัดอันดับของ “TasteAtlas” เว็บไซต์ที่รวบรวมร้านอาหาร วัตถุดิบ และสูตรอาหารท้องถิ่นจากทั่วทุกมุมโลก แม้จะเคยได้รับการพูดถึงในระดับโลกมาแล้ว แต่ “ข้าวซอย” กลับไม่ใช่ตัวเลือกแรกๆ ที่นักท่องเที่ยวต่างชาตินึกถึงหากได้มีโอกาสลิ้มรสอาหารไทย แต่เป็นเมนูสุดแมสจากเมืองกรุง อย่าง “ต้มยำกุ้ง” ที่ได้รับความนิยมมากกว่า
ไม่รู้ว่า เป็นเพราะรสชาติที่มีความเฉพาะตัว หรือชื่อเสียงของ “ข้าวซอย” ที่เริ่มเลือนหายไปตามกาลเวลา มุมมองของ “วิน ศรีนวกุล” อดีตซูชิเชฟในสหรัฐที่ตัดสินใจย้ายกลับมาตั้งต้นในจังหวัดเชียงใหม่ บอกว่า ตอนนั้นเขาหันมาทำธุรกิจท่องเที่ยวกับแฟนสาว แต่ก็มีอันต้องหยุดชะงักลงเพราะสถานการณ์โรคระบาดใหญ่ ครั้นจะกลับไปทำอาหารญี่ปุ่นอีกครั้งก็มองว่า วิวัฒนาการอาหารญี่ปุ่นไปไกลเกินกว่าที่เขาจะตามทันเสียแล้ว
“วิน” มองไปที่อาหารเหนือ และพบว่า “ข้าวซอย” ไม่ได้เดินไปข้างหน้าเหมือนกับเมนูจากต่างแดนที่มีมูลค่าสูงขึ้นทุกวัน เหตุผลเดียวที่จะทำให้ราคาข้าวซอยเพิ่มขึ้นได้ คือการนำไปไว้ในโรงแรมห้าดาวเท่านั้น ขณะที่ “ราเมน” อาหารญี่ปุ่นที่มีรูปร่างหน้าตาละม้ายคล้ายกันกลับมีมูลค่าสูงขึ้นเรื่อยๆ ร้านขนาดเล็กๆ เสิร์ฟเพียงวันละ 50-70 ชามก็อยู่ได้แล้ว คำถามที่ตามมา ก็คือถ้าอาหารญี่ปุ่นทำได้ แล้วทำไม “ข้าวซอย” จะทำบ้างไม่ได้ ?
ไม่ใช่ข้าวซอย แต่เป็น “ข้าวโซอิ” หลุดจากขนบเดิม ไม่มีทางถูกใจทุกคน
อดีตซูชิเชฟเล่าย้อนกลับไปถึงช่วงตั้งไข่ธุรกิจว่า “ข้าวซอย” ไม่ใช่เมนูป๊อปปูลาร์ คนรุ่นใหม่หรือวัยรุ่นในเชียงใหม่ก็แทบจะไม่มีใครกินข้าวซอยกันแล้ว ถ้าข้าวซอยยังได้รับความนิยมต่อเนื่องจริงๆ ร้านข้าวซอยคงเติบโตกว่านี้ ร่ำรวยกว่านี้ ต้องขยายสาขา-ต่อยอดไปได้เรื่อยๆ เหมือนกับ “แฮมเบอร์เกอร์” หรือ “ซูชิ”
คิดได้เช่นนั้น “วิน” จึงกลับมากางโจทย์ค่อยๆ แก้ทีละจุด จะทำอย่างไรให้เมนูข้าวซอยได้รับการยกระดับ มีคุณค่าได้พอๆ กับอาหารของประเทศอื่นที่รุดไปข้างหน้าตามไลฟ์สไตล์ของผู้คน ปรากฏว่า วินสรุปคำตอบออกมาเป็น “4 ส.” ได้แก่ เส้น ซุป เสิร์ฟ และเซอร์วิส จากเส้นข้าวซอยสีเหลืองแบนแบบเดิม เขาคิดใหม่หันมาทำเส้นสดเอง ปรับเปลี่ยนพัฒนาสูตรจนกว่าจะใช่อยู่เกือบๆ หนึ่งเดือน เพื่อให้ได้เส้นข้าวซอยที่ให้สัมผัสเคลือบน้ำแกงได้
ต่อมา คือรสชาติของน้ำซุป ไม่ใช่แค่ถูกปากคนไทยแต่ต้องทำให้เป็นรสชาติที่ไปไกลระดับโลกได้ เพราะการพาข้าวซอยไปเวทีโลกเป็นหมุดหมายที่ “วิน” ปักธงไว้ในใจตั้งแต่เริ่มต้น ทำให้รสชาติของร้านอาจจะแตกต่างจากข้าวซอยพื้นถิ่นแบบเดิมๆ เขายอมรับว่า มีทั้งคนที่ถูกใจและไม่ถูกใจซึ่งก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ และส่วนสุดท้าย คือการบริการหรือเซอร์วิส พนักงานต้องรู้จักวิธีนำเสนอข้าวซอยให้ทั้งคนไทยและต่างชาติเข้าใจได้ว่า นี่เป็นอีกหนึ่งเมนูที่คนไทย “Proud to present”
“ซุปของผมจะต่างจากข้าวซอยแบบเดิม ช่วง 4-5 เดือนแรกเราทรมานมากกับการโดนคอมเมนต์ว่า นี่ไม่ใช่เส้นข้าวซอย ไม่ใช่ซุปข้าวซอย ทะเลาะกับผู้ใหญ่มาก็เยอะ แต่วิธีหลุดจากกรอบเดิมๆ คือต้องกล้าเปิดใจก่อน หลายครั้งมีคอมเมนต์เข้ามาว่า ข้าวซอยแบบนี้ไม่ถูกต้อง ซึ่งจริงๆ แล้วข้าวซอยมีหลายสูตรมาก วันนี้ก็แค่มีสูตรใหม่เพิ่มเข้ามา ความฝันของผมคือการเอาข้าวซอยไทยไปเวทีโลก”
“คน” คือ Keyman ต้องเทรนพนักงานอย่างหนัก เจ้าของดูเองทั้งหมดไม่ได้
หัวใจสำคัญนอกจากรสชาติที่อร่อยและแตกต่าง พนักงานก็เป็นเรื่องที่มองข้ามไม่ได้ เพราะสุดท้ายเมื่อธุรกิจเติบโตขึ้น ผู้ประกอบการคงไม่สามารถดูแลได้ด้วยตัวเองทั้งหมด ในช่วงแรกที่ยังมีเพียงสาขาเชียงใหม่ “วิน” ต้องเป็นเชฟทำอาหารเอง แต่หลังจากสเกลสาขามายังกรุงเทพฯ จึงสับเปลี่ยนมาดูงานบริหารหลังบ้านมากขึ้น
วินเล่าว่า พนักงานที่ร้าน “ข้าวโซอิ” จะมีพาสปอร์ตติดตัวคนละ 1 เล่ม ไม่ใช่พาสปอร์ตที่มีไว้ยืนยันตัวตนเพื่อเดินทางข้ามประเทศ แต่เป็นพาสปอร์ตของพนักงานประจำร้าน มีรูปพนักงาน ชื่อ และวันที่เริ่มงาน แต่ละหน้าจะเป็น “ด่าน” ที่หัวหน้าระดับ Supervisor เซ็นรับรอง เพื่อดูว่า พนักงานคนนี้ทำงานเป็นอย่างไร ผ่านมาได้เพราะอะไร ต้องต่อ Probation หรือไม่ ฯลฯ กระทั่งถึงวันที่ได้บรรจุเป็นพนักงานตัวจริงจะมีหน้าสุดท้ายให้เพื่อนร่วมงานได้เขียนแสดงความยินดี รวมถึงเจ้าตัวก็จะได้เขียนระบายความรู้สึกตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเช่นกัน
“ผมเฝ้าครัวกลางเองทุกวันไม่ได้ สาขาเชียงใหม่ที่มีเกือบ 200 ที่นั่ง สาขาพารากอน 50 ที่นั่ง สาขาสีลมอีก 60 ที่นั่ง พวกนี้เราไปทำเองไม่ได้แล้ว ต้องฝากอนาคตไว้กับบุคลากร ต่อให้มีผู้จัดการก็แบกทุกสาขาไม่ไหว ต้องฝากไว้ในมือบุคลากรหลายๆ คน เพราะฉะนั้น สิ่งนี้จึงเป็นเรื่องที่ผมให้ความสำคัญที่สุด มาเปิดสาขาสีลมตอนแรกเราก็ให้สตาฟจากสาขาเชียงใหม่มาช่วย แต่ผมก็ปั้นเองทั้งหมดไม่ไหว อย่างสาขาที่ลอนดอนก็หา General Manager จากที่นู่นเอาเลย แต่ต้องหาคนที่เชื่อว่า เขาจะทำได้”
อยากให้แมส ต้องเปลี่ยนอาหารเหนือเป็น “อาหารไทย”
ในมุมมองชาวต่างชาติ “ต้มยำกุ้ง” คงเป็นอาหารไทยเมนูแรกๆ ที่นึกถึง เพราะไม่ได้ถูกจำกัดว่า เป็นอาหารของภูมิภาคใดเป็นพิเศษ เหมือนกับที่หลายคนเห็นตรงกันว่า “ซูชิ” คืออาหารญี่ปุ่น หรือ “หมาล่า” คืออาหารจีน
“วิน” บอกว่า หนึ่งใน Pain Point ที่ทำให้ข้าวซอยไปไม่ถึงดวงดาว เพราะถูกจำแนกแยกย่อยในฐานะอาหารพื้นถิ่น มากกว่าจะถูกพูดถึงในฐานะ “อาหารไทย” จะทำให้ข้าวซอยได้รับการบอกต่อ-เป็นที่รู้จัก ต้องได้รับการมองเห็นมากขึ้น มากรุงเทพฯ ก็เจอ ไปภูเก็ตก็เจอ ต้องเป็นเมนูอาหารที่หากินได้ทั่วไปตามท้องตลาด ซึ่งวันที่ “ข้าวโซอิ” เกิดขึ้นยังไม่มีใครทำสิ่งนี้ และ “วิน” น่าจะเป็นคนแรกๆ ที่ยกระดับข้าวซอยสู่ความปกติที่ว่ามาได้
หลังจากเปิดสาขาที่เชียงใหม่ “วิน” ตัดสินใจเปิดสาขาที่สองใจกลางกรุงเทพฯ ย่านสีลม ด้วยเหตุผลเรื่องค่าเช่าที่ เขาเลือกเปิดนอกห้างสวนทางสูตรสำเร็จของร้านอาหารจากแดนไกลในเมืองหลวง แต่ผลปรากฏว่า แม้อยู่นอกห้างลูกค้าก็ยังมาไม่ขาดสาย จากนั้นโลเกชัน “สยามพารากอน” จึงเป็นสาขาที่สามของข้าวโซอิ และเมื่อช่วงปลายปี 2567 ที่ผ่านมา “วิน” ยังได้โอกาสครั้งสำคัญ ด้วยการเปิดร้าน Pop-up Store ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ราวๆ 3 เดือน
จุดเริ่มต้นที่ทำให้เข้าใกล้ความฝันผลักดันข้าวซอยไทยไปเวทีโลก เป็นความบังเอิญที่ผู้ใหญ่ในตระกูลศิลาอ่อน เจ้าของอาณาจักรขนมหวาน “S&P” ได้มีโอกาสมากินข้าวโซอิที่เชียงใหม่แล้วชอบมาก จึงชวนวินไปเปิดร้านที่ลอนดอนซึ่งก็ตรงกับความตั้งใจที่เป็นเป้าหมายสูงสุดอยู่แล้ว
เขาเล่าว่า การไปลอนดอนครั้งนั้นต้องเจอกับความท้าทายหลายอย่าง ระบบการทำงานไม่เหมือนการเปิดร้านอาหารในไทยหลายส่วน ต้นทุนสูงขึ้น ภาษีที่แพงกว่า รวมถึงกฎระเบียบในการจัดการร้านอาหารที่แตกต่างกันทำให้เขาต้องใช้เวลาเรียนรู้อีกมาก
อย่างไรก็ตาม “ข้าวโซอิ” ประสบความสำเร็จอย่างมากจากการไปลอนดอนในช่วงปลายปีที่แล้ว ร้านรองรับที่นั่งได้ 28 โต๊ะ แต่สามารถเสิร์ฟได้วันละ 400 คน มีคิวยาวจนเทศบาลอังกฤษต้องเข้ามากำชับให้มีการตั้งแถว โดยลูกค้ามีทั้งคนเอเชียและยุโรปผสมกันไป ทำให้ “วิน” มั่นใจว่า ความฝันของเขากำลังเข้าใกล้ความเป็นจริงมากขึ้นเรื่อยๆ
ปีนี้จะมี “ข้าวโซอิ” ในไทย 6 สาขา ที่ลอนดอนชัวร์ๆ อีก 1 สาขา
เจ้าของร้านข้าวโซอิบอกว่า ขณะนี้อาหารไทยเป็นที่นิยมในลอนดอน มีร้านอาหารไทยที่มีชื่อเสียงมากๆ หลายร้าน แต่เชื่อหรือไม่ว่า Top 5 ที่เป็นกระแสกลับไม่มีร้านไหนที่มีเจ้าของเป็นคนไทยแม้แต่รายเดียว มองว่า คนไทยอาจจะยังจับทางไม่ถูก สิ่งที่ “วิน” สังเกตเห็น คือร้านดังมีเซอร์วิสที่ดีให้ลูกค้าอย่างเข้มข้น เพียงลูกค้าที่เดินผ่านไปมาชะเง้อมอง เจ้าของหรือพนักงานก็จะให้ความสำคัญด้วยการกล่าวทักทาย พร้อมเชิญชวนมาชิมอาหาร แม้ยังไม่ตัดสินใจว่า จะอุดหนุนหรือไม่
ปัจจุบัน “ข้าวโซอิ” มีทั้งหมด 3 สาขา ได้แก่ สาขาเชียงใหม่ สาขาสีลม และสาขาสยามพารากอน โดยในปีนี้จะมีเปิดเพิ่มอีก 3 สาขาในไทย และอีก 1 สาขาที่ลอนดอน โดยครั้งนี้จะไม่ใช่ Pop-up Store ชั่วคราวอีกแล้ว แต่เป็นการสยายปีกข้าวซอยไทยสู่เวทีโลกจริงๆ
ส่วนความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น แรกเริ่มเดิมที “วิน” ตั้งใจทำเพียงเมนูข้าวซอยตามชื่อร้านเท่านั้น แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็พบว่า หากมีแต่เมนูเดิมๆ ลูกค้าก็อาจจะเบื่อได้สักวัน หลังจากนี้เราอาจได้เห็นข้าวโซอิที่มีมากกว่าเมนูข้าวซอย “วิน” บอกว่า จะเพิ่มเมนูอาหารเหนือมาอีก 2 รายการ เติมความหลากหลายเพื่อเพิ่มโอกาสให้กลุ่มเป้าหมายรู้จักร้านมากขึ้น
“ผมว่า ผมเดินทางมาถูกครึ่งทางแล้ว อันนี้คือความกล้าในการหลุดจากกรอบเดิมๆ ในการยกระดับอาหารไทย ซึ่งมันอาจจะตรงใจไม่ตรงใจบ้างก็อยากให้สนับสนุนกัน”