เบื้องหลัง 'เนสท์เล่' แยกทาง 'มหากิจศิริ' เสนอหลากออปชัน แต่ไม่ลงตัว

เบื้องหลัง 'เนสท์เล่' แยกทาง 'มหากิจศิริ'  เสนอหลากออปชัน แต่ไม่ลงตัว

ความขัดแย้ง "เนสท์เล่ - มหากิจศิริ" ปมยุติสัญญาให้ QCP ผลิตเนสกาแฟ ในประเทศไทย ยังไม่จบ เจาะเบื้องหลังก่อนเปลี่ยนมิตรเป็นคู่พิพาท เสนอหลายทางเลือกแต่เจรจาไม่ลงตัว!

ข้อพิพาทระหว่าง “เนสท์เล่” กับตระกูล “มหากิจศิริ” ในฐานะอดีตพันธมิตรทางธุรกิจผู้ผลิต “เนสกาแฟ”(Nescafe') ภายใต้ บริษัท ควอลิตี้ คอฟฟี่ โปรดักท์ส จำกัด (QCP) ยังไม่ได้ข้อยุติจากทั้ง 2 ฝ่าย โดยยังมีประเด็นขัดแย้งกัน และนำเรื่องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมกัน

ย้อนไทม์ไลน์สั้นๆ ที่ผ่านมา เนสท์เล่ ได้ยุติสัญญาในการให้บริษัท ควอลิตี้ คอฟฟี่ โปรดักท์ส จำกัด (QCP) ผลิตเนสกาแฟในประเทศไทย เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2567 ซึ่งเป็นการปฏิบัติตามคำสั่งศาลอนุญาโตตุลาการสากล

ก่อนยุติสัญญา เนสท์เล่ ได้มีการแจ้งล่วงหน้า 2 ปีให้กับพันธมิตร “มหากิจศิริ” ทราบ ระหว่างนั้นตกลงกันไม่ได้ และมีการเจรจาหาทางออก แต่ไม่ได้ข้อสรุปที่ตรงกัน จึงดำเนินการฟ้องร้องต่อศาลอนุญาโตตุลาการสากล ซึ่งการขึ้นศาลดังกล่าว เป็นข้อกำหนดที่อยู่ในสัญญา และคู่กรณีได้สืบพยาน ไปศาลมาโดยตลอด

เมื่อมีคำตัดสินจากศาลอนุญาโตตุลาการสากล ฝั่ง “มหากิจศิริ” จึงร้องต่อศาลแพ่งมีนบุรี และมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวห้าม “เนสท์เล่”​ ผลิต จ้างผลิต นำเข้า และจำหน่าย “เนสกาแฟ”ในประเทศไทย จากนั้น “เนสท์เล่” มองผลกระทบใหญ่ จึงร้องต่อศาลทรัพย์สินทางปัญญา และการค้าระหว่างประเทศกลาง ต่อมาศาลฯ มีคำสั่งเมื่อวันที่ 11 เมษายน 2568 ทำให้เนสท์เล่กลับมาดำเนินธุรกิจเนสกาแฟได้ตามปกติ

ฟ้องเลิกกิจการ แบ่งสินทรัพย์ เงิน

นอกจากนี้ ความขัดแย้งที่ยังเจรจาหาข้อสรุปไม่ได้ “เนสท์เล่” จึงฟ้องเพื่อยกเลิกกิจการ QCP

“ไม่ใช่การฟ้องล้มละลาย แต่เป็นการฟ้องยกเลิกกิจการ QCP เฉกเช่นสามีภรรยากัน เมื่อหย่าต้องมีการแบ่งสินทรัพย์ สินสมรส กรณีนี้คือ สินทรัพย์ที่เป็นอาคาร เครื่องจักร เงินสด  นำมาแบ่งกันแล้วแยกย้ายไปลงทุนตามแนวทางของตนเอง” ตัวแทนจากเนสท์เล่ ชี้แจง (FYI เงินสดภายใต้บริษัท QCP มีหลักพันล้านบาท)

ออปชันเจรจา ซื้อหุ้น ไม่จ้างผลิต 

อย่างไรก็ตาม จากมิตรแท้แปรเป็นคู่ขัดแย้ง เพื่อให้ธุรกิจไปต่อ ทั้งเนสท์เล่ และ “มหากิจศิริ” ได้หารือในการทำธุรกิจร่วมกันต่อไป ซึ่งมีหลายออปชัน เช่น เนสท์เล่ ต้องการซื้อหุ้นจากมหากิจศิริ อนาคตต้องการปรับเปลี่ยนโมเดลธุรกิจใหม่ไม่ใช่จ้างผลิต เป็นต้น

“การเจรจามีบางข้อที่เห็นไม่ตรงกัน ส่วนออปชันที่เสนอเพื่อจะทำงานด้วยกันได้ ไม่ตัดขาดออกจากกัน แต่ตกลงไม่ได้สักออปชัน และเมื่อทุกอย่างไม่ลงตัว จึงบอกเลิกสัญญา”

สำหรับสัญญาการทำธุรกิจระหว่างเนสท์เล่ และมหากิจศิริ ภายใต้ QCP มีการต่อทุก 12 ปี

นำเข้าเนสกาแฟมากกว่าผลิตในประเทศ

หลังจากเนสท์เล่ ปฏิบัติตามคำสั่งศาลอนุญาโตตุลาการสากล ส่งผลให้โรงงานผลิตเนสกาแฟภายใต้ QCP ไม่มีคำสั่งผลิตสินค้าหรือออร์เดอร์เข้าไป และโรงงานหยุดผลิต และเพื่อไม่ให้สินค้า “เนสกาแฟขาดตลาด” เนสท์เล่ จึงจ้างผลิต(โออีเอ็ม)สินค้าแก่บริษัทอื่นๆ รวมถึง “นำเข้าเนสกาแฟ” ทั้งเนสกาแฟปรุงสำเร็จ เนสกาแฟทรีอินวัน และเนสกาแฟพร้อมดื่ม จากฐานผลิตในประเทศบ้าน ซึ่งจากการสำรวจตลาด บริษัทผู้ผลิตมีดังนี้ บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด บริษัท เบญจพันธ์พงศ์ จำกัด บริษัท เนสท์เล่ เวียดนาม จำกัด ประเทศเวียดนาม บริษัท เนสท์เล่ แมนนิวเฟคเชอริ่ง (มาเลเซีย) เอชดีเอ็น บีเอชดี ประเทศมาเลเซีย และบริษัท โตโย ไซกัน (ประเทศไทย) จำกัด เป็นต้น

“ตอนนี้สินค้าเนสกาแฟนำเข้าสัดส่วนมากกว่าผลิตในประเทศ เพราะการจ้างผลิตในประเทศไม่เพียงพอ เจ้าเดิมผลิตไม่ได้ แต่การนำเข้ายืนยันว่าเป็นการชั่วคราว”

ทั้งนี้ ตัวแทนเนสท์เล่ ย้ำว่า บริษัทจะลงทุนผลิตเนสกาแฟในประเทศไทย ส่วนท่ามกลางปัญหาข้อพิพาทยังไม่ยุติ และส่งผลต่อการผลิตเนสกาแฟในประเทศ หากลามถึงการเก็บเกี่ยวเมล็ดกาแฟฤดูกาลหน้า ช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ ยืนยันจะรับซื้อวัตถุดิบไว้ โดยเนสท์เล่ เป็นผู้รับซื้อเมล็ดกาแฟมากกว่า 50% ในตลาด

สูญ 70 ล้านบาทต่อวัน หากเนสกาแฟขาดตลาด

ทั้งนี้ หากไม่มีสินค้าเนสกาแฟจำหน่าย จะส่งผลกระทบต่อเนสท์เล่สูญเสียยอดขาย 70 ล้านบาทต่อวัน

สำหรับภาพรวมตลาดกาแฟปรุงสำเร็จ และกาแฟทรีอินวัน(3 in 1) มีมูลค่าราว 2.3 หมื่นล้านบาท(เม.ย.67-มี.ค.68) โดยเนสกาแฟถือเป็นผู้นำตลาดที่ครองส่วนแบ่งมากสุด อีกทั้ง “เนสกาแฟ” เป็นสินค้าที่ทำรายได้สัดส่วนสูงสุดในพอร์ตโฟลิโอของเนสท์เล่ด้วย

เนสท์เล่ ให้ความสำคัญ “ธรรมาภิบาล”

ในการดำเนินธุรกิจ เนสท์เล่ ให้ความสำคัญกับ “ธรรมาภิบาลอย่างมาก” เนื่องจากเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สวิส

“เป็นปกติบริษัทใหญ่ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เรื่องธรรมาภิบาลเป็นเรื่องใหญ่มาก เป็นหลักเกณฑ์หนึ่งที่ยึดถือในการทำธุรกิจ และการทำงานร่วมกัน”

อย่างไรก็ตาม เนสท์เล่ยืนยันว่าทุกสิ่งที่บริษัทดำเนินการล้วนปฏิบัติตามคำสั่งศาล ความถูกต้องตามกฎหมาย ข้อมูลที่สื่อสารกับสาธารณะตั้งอยู่บนข้อเท็จจริง ถูกต้อง

“แนวทางการทำงานต้องให้ข้อมูลตามข้อเท็จจริง ภายใต้หลักฐาน สิ่งที่สื่อสารซึ่งพิสูจน์ไม่ได้ จะไม่กล่าวเด็ดขาด ข้อมูลทั้งหมดนอกจากถูกต้อง ต้องถูกต้องกฎหมายด้วย เพราะการบิดเบือนเป็นอันตรายอย่างมาก และเราไม่ต้องการตอบโต้ใคร”