ค้าปลีกโตต่ำจี้รัฐปลุก ‘ท่องเที่ยว’ ดันชอปปิงยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม

สมาคมผู้ค้าปลีกไทย หวั่นปัจจัยลบ สงครามการค้า สินค้าจีนโอเวอร์ซัพพลาย ทะลักเข้าไทย กระทบเอสเอ็มอี ฉุดเศรษฐกิจไทย ค้าปลีก ปี 2568 ชะลอตัว โต 3.4%
แนะรัฐเร่งฟื้นท่องเที่ยว เสนอโปรเจกต์ “Instant tax refund” ยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% ให้นักท่องเที่ยวช้อป 3,000 บาทขึ้นไป หนุนภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์เขตปลอดภาษีสินค้าไลฟ์สไตล์ หวังเม็ดเงินสะพัดระดับแสนล้าน ดันไทยชอปปิงพาราไดซ์
ภาคค้าปลีกไทย หนึ่งในเครื่องยนต์หลักเศรษฐกิจไทยที่มีมูลค่า 4 ล้านล้านบาท มีขนาดใหญ่สัดส่วน 16% ของจีดีพีประเทศ และมีผลเกี่ยวเนื่องกับภาคการผลิต ภาคการบริโภค และภาคแรงงาน
นายณัฐ วงศ์พานิช ประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย กล่าวว่า ภาพรวมค้าปลีกไทยในครึ่งปีหลัง 2568 มีปัจจัยที่ต้องติดตามทั้ง สงครามการค้า โดยสหรัฐเตรียมปรับขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากไทย 36% มีผลต่อภาคการส่งออก ซึ่งประเมินว่าอาจได้รับผลกระทบสูงถึง 7-8 แสนล้านบาท ขณะที่สงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนมีผลทำให้สินค้าที่ผลิตในประเทศจีนเกิดปัญหาโอเวอร์ซัพพลาย ต้องส่งออกในภูมิภาคอาเซียนและไทย กระทบต่อผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทย 3.3 ล้านราย ต้องเผชิญการแข่งขันรุนแรงมากขึ้น ทำให้กำลังซื้อในประเทศหดตัวลง
“หากปัจจัยลบทุกอย่างไม่สามารถคลี่คลายได้ ประสบปัญหาต้นทุนการดำเนินธุรกิจสูงขึ้น จากค่าแรง โลจิสติกส์ ค่าพลังงาน สาธารณูปโภค ตลอดจนนักท่องเที่ยวจีนที่เป็นกลุ่มหลักลดลง ส่งผลค้าปลีกไทยมูลค่า 4 ล้านล้านบาทได้รับแรงสั่นสะเทือนจากพายุหมุนเศรษฐกิจ”
ทำให้ปี 2568 อาจขยายตัวเพียง 3.4% เท่านั้น หรือมีมูลค่าเพิ่มขึ้น 1.36 แสนล้านบาท จากที่ผ่านมาขยายตัวเฉลี่ย 5% ส่วนปี 2567 ขยายตัว 5.9%
ชูชอปปิงพาราไดซ์ดันเม็ดเงินสะพัดแสนล้าน
สำหรับมาตรการที่อยากให้ภาครัฐเร่งดำเนินการในภาวะที่มีความไม่แน่นอนหลายด้าน คือ กระตุ้นค้าปลีกโดยอัดยาแรงกระตุ้นเศรษฐกิจ และภาคท่องเที่ยวของไทย ด้วยการทำมาตรการทางภาษีให้แก่นักท่องเที่ยว เช่น Instant tax refund คืนภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% ให้นักท่องเที่ยวทันที ที่มียอดซื้อสินค้าตั้งแต่ 3,000 บาทขึ้นไป ต่อ 1 วันในร้านค้าเดียว เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศ ซึ่งควรดำเนินการผ่านร้านค้าทั่วประเทศ
“มาตรการนี้คล้ายกับประเทศญี่ปุ่น เมื่อนักท่องเที่ยวซื้อสินค้าในร้านเดียวกันและวันเดียวกัน มูลค่าเกิน 5,000 เยนขึ้นไป จะสามารถขอคืนภาษีได้ทันทีที่ร้าน ส่งผลให้นักท่องเที่ยวมีเม็ดเงินนำใช้ชอปปิ้งได้ต่อไป สำหรับไทยเมื่อนักท่องเที่ยวมาไทย ต้องไปซื้อสินค้าในร้านค้าที่มีสัญลักษณ์สามารถขอคืนภาษีได้ และต้องซื้อสินค้าจากร้านค้าแห่งเดียวกันในแต่ละวันมากกว่า 2,000 บาท และเก็บใบเสร็จไว้ หลังจากนั้นจึงนำใบเสร็จมายื่นที่ เคาน์เตอร์ศุลกากร ที่สนามบินเท่านั้นเพื่อได้รับเงินคืน”
ต่อมา มาตรการทำเขตปลอดภาษีสำหรับสินค้าไลฟ์สไตล์ ในกลุ่มแฟชั่น เครื่องสำอาง เครื่องหนัง น้ำหอม ด้วยการเริ่มทำแซนด์บ็อกซ์ เป็นเขตปลอดภาษี ในพื้นที่ภูเก็ต ที่เป็นเมืองท่องเที่ยวสำคัญของประเทศไทย พร้อมกันนี้ควรนำร่องลดภาษีนำเข้าสินค้าไลฟ์สไตล์จากสหรัฐในภูเก็ต เพื่อร่วมกระตุ้นความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างไทยและสหรัฐ พร้อมเพิ่มความหลากหลายให้แก่ผู้บริโภค ทั้งหมดจะร่วมผลักดันให้ประเทศเข้าสู่การเป็นเมืองสวรรค์แห่งการชอปปิ้ง (ชอปปิ้ง พาราไดซ์) และก้าวสู่ศูนย์กลางชอปปิ้งในภูมิภาค
จากการประเมินเบื้องต้น หากภาครัฐขับเคลื่อน มาตรการ Instant tax refund ลดภาษีทันที ณ จุดขาย ได้สำเร็จ จะสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจได้มากกว่าหมื่นล้านบาท ส่วนมาตรการภูเก็ต เขตปลอดภาษี จะร่วมกระตุ้นเศรษฐกิจได้ในระดับหลายหมื่นล้านบาทจนถึงแสนล้านบาท
เตรียมหารือมาตรการภาษี
สมาคมผู้ค้าปลีกไทย มีแผนเข้าไปหารือมาตรการทางภาษีกับกระทรวงที่เกี่ยวข้อง เพื่อเร่งผลักดันมาตรการกระตุ้นท่องเที่ยวทั้ง กระทรวงการคลัง ในเรื่องภาษี คาดเข้าไปหารือได้ในช่วงไตรมาส 2-3 ซึ่งช่วงที่ผ่านมา ได้หารือกับกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงอุตสาหกรรมมาแล้ว แต่ยังไม่มีความคืบหน้า
สำหรับแนวทางการปรับตัวของผู้ประกอบการค้าปลีกไทย ท่ามกลางความไม่แน่นอน ผู้ประกอบการควรติดตามสถานการณ์ต่างๆ อย่างใกล้ชิด การมุ่งใช้เทคโนโลยีมาร่วมยกระดับประสบการณ์การชอปปิงแบบไร้รอยต่อ (Convergence Commerce as the New Standard) ระหว่างออนไลน์และออฟไลน์ ร่วมมือร้านค้ารายใหญ่และรายย่อยสร้างระบบนิเวศส่งมอบสินค้าและบริการที่ดีให้แก่ลูกค้า พร้อมนำระบบเทคโนโลยี เอไอ (AI Personalization Engine) วิเคราะห์ความต้องการของลูกค้าแบบรายบุคคล และการใช้เอไอ ร่วมวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ ทำให้บริหารจัดการสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ และการมุ่งค้าปลีกสีเขียว (Sustainable retail) ตามแนวโน้มผู้บริโภคยุคใหม่ที่ให้ความสนใจเรื่องสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
“ผู้ประกอบการไทยต้องเร่งปรับตัว หาสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มนำมาจำหน่าย เป็นสินค้าคุณภาพ ผสมด้วยการบริการที่ดี ปรับรูปแบบการทำธุรกิจที่ใช้เทคโนโลยีมาเสริม เพราะหากขายเพียงสินค้าราคาถูก จะมีผู้ประกอบการรายอื่นๆ ที่สามารถแข่งขายสินค้าได้เหมือนกันหมด”
หวังรัฐคุมสินค้านำเข้าเก็บภาษีตั้งแต่บาทแรก
แนวทางป้องกันสินค้าราคาถูกและไม่มีคุณภาพเข้ามาในประเทศ ควรมุ่งตรวจสอบสินค้านำเข้าแบบ 100% แทนการสุ่มตรวจ และใช้เทคโนโลยีที่แม่นยำ มีมาตรการเชิงรุกปราบปรามนอมินีที่สวมสิทธิ์คนไทย ตั้งแต่รายเล็กไปจนถึงรายใหญ่ เช่น ร้านอาหาร ซูเปอร์มาร์เก็ต และโรงแรมศูนย์เหรียญ เพื่อป้องกันเม็ดเงินรั่วไหลไปต่างประเทศ ซึ่งจะทำให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจและค้าปลีกของไทยมากขึ้น รวมถึงการป้องกันการสวมสิทธิ์ผลิตสินค้าที่ใช้ไทย เป็นฐานส่งออกไปสหรัฐ (Re-Export) เป็นอีกตัวแปรที่ทำให้ไทยเกินดุลการค้าจากสหรัฐ
ขณะเดียวกัน ควรมีมาตรการรุกกลับทั้งปรับปรุงกฎหมายที่มีข้อจำกัดและไม่ครอบคลุมกับพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ หรือการขายสินค้าออนไลน์ที่ไม่มีมาตรฐาน และมีราคาถูกจากต่างประเทศที่เข้ามาขายในแพลตฟอร์มต่างๆ ด้วยการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) 7% กับสินค้าออนไลน์ตั้งแต่บาทแรก จากเดิมหากไม่เกิน 1,500 บาทได้รับการยกเว้นภาษี ซึ่งควรออกเป็นกฎหมายบังคับใช้ถาวร พร้อมกันนี้ ภาครัฐ ควรทำระบบเชื่อมต่อข้อมูลอัตโนมัติของ สำนักงานมาตรฐานผลิตอุตสาหกรรม (สมอ.) และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ในการดูแลและตรวจสอบสินค้า
“สินค้าจากจีนที่เข้ามาในไทยจำนวนมาก คาดเป็นกลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ แอคเซสซอรี่ เครื่องหนัง รวมถึงธุรกิจร้านอาหารที่เริ่มมีมากขึ้นแล้ว”
อีกแนวทางที่อยากให้สินค้าไทยสามารถแข่งขันได้ในตลาดคือ การส่งเสริมสินค้าจากไทยในกลุ่มแบรนด์ไทย หรือ สินค้าเมดอินไทยแลนด์ จากผู้ผลิตไทยโดยตรง เพื่อร่วมกระตุ้นผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทย ทำให้เม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจส่งผลดีต่อเศรษฐกิจของประเทศ