'ไทยแลนด์พาวิลเลี่ยน' คนไทยทำได้ดีกว่านี้! จากใจเจ้าพ่ออีเวนต์

เจ้าพ่ออีเวนต์ "เกรียงไกร" ผู้สัมผัสงานเวิลด์ เอ็กซ์โป 9 ครั้ง ฝากผลงานไทยแลนด์พาวิลเลียนหลายหน ถึง Osaka World Expo เผยเสียดายโอกาสประเทศ ย้ำคนไทยทำได้ดีกว่านี้ได้
งานอีเวนต์ระดับโลก “เวิลด์ เอ็กซ์โป”(Osaka World Expo 2025) เปิดฉากอย่างเป็นทางการเพียงไม่กี่วัน(เปิด 13 เม.ย.68) งานจัดยาว 6 เดือนถึง13 ต.ค.68 แต่กลับเกิด “ดราม่าศาลาไทย” ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้(20 เม.ย.68) ไม่เพียงแค่ฉากหน้าที่เห็นคือาคารที่โชว์ศักยภาพประเทศ
ทว่า ยังมี “ไส้ใน” ทั้งการนำเสนอภายในอาคาร ที่ต้องตีโจทย์ “Designing Future Society for Our Lives" หรือ "ออกแบบสังคมแห่งอนาคตเพื่อชีวิตของเรา" ว่าจะเล่าเรื่องราวอย่างไรให้ประเทศไทยโดดเด่น
ลึกกว่านั้นคือ “งบประมาณก้อนโตกว่า 900 ล้านบาท” การประมูล การสร้างอาคาร การนำเสนอออกมา มีข้อกังขา และ “ต่อมเอ๊ะ!” ทำงานเต็มไปหมด
หากย้อนดราม่าตั้งแต่วันเปิดงาน ไม่ใช่แค่อาคารศาลาไทย แต่การแสดงที่ถูกตั้งคำถามว่านำเสนอความหลากหลายอย่าง “ลิเกฮูลู” การละเล่นของทางภาคใต้ ที่อาจทำให้มีกลิ่นอายวัฒนธรรมประเทศเพื่อนบ้าน ต้นกล้วยบริเวณศาลาไทยที่เหี่ยวเฉา เหมือนเพียงปักทิ้งไว้ ส่วนภายในงานไร้ความว้าว อาหารที่นำไปเสิร์ฟ มีเกี๊ยวจากแบรนด์ดัง และอีกมากมาย
ชูท่องเที่ยวเชิงสุขภาพสู่สายตาโลก
นพ.กรกฤช ลิ้มสมมุติ รองอธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ให้ข้อมูลเกี่ยวกับงาน World Expo ถือเป็นงานนิทรรศการระดับโลก ปีนี้จัดขึ้น ณ นครโอชากา ประเทศญี่ปุ่น ในชื่อ Expo 2025 Osaka, Kansai, Japan คณะรัฐมนตรีมีมติมอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุข โดยกรม สบส. เข้าร่วมจัดงานในระหว่างวันที่ 13 เมษายน - 13 ตุลาคม 2568 เพื่อแสดงศักยภาพด้านสาธารณสุข การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของประเทศไทยสู่สายตาชาวโลก
ทั้งนี้ ได้นำเสนอผ่านการแสดงอาคารนิทรรศการไทย “ภูมิพิมาน ดินแดนแห่งภูมิคุ้มกัน” นำเสนอแนวคิดหลัก “THAILAND Connecting Lives for Greatest Happiness” สร้างสรรค์ชีวิตเพื่อความสุขที่ยิ่งใหญ่ ภายในอาคารนิทรรศการซึ่งจะนำเสนอนิทรรศการ จาก 1 สู่ 1,000,000 และจากการเปิดงานมีชาวต่างชาติเข้าเยี่ยมชมอาคารนิทรรศการไทยระหว่าง 13-15 เม.ย.68 จำนวน 18,076 คน และส่วนใหญ่มีกระแสตอบรับที่ดี
world Expo เวทีโชว์ศักยภาพประเทศ-Nation Branding
เกรียงไกร กาญจนะโภคิน ผู้ก่อตั้ง และประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท อินเด็กซ์ ครีเอทีฟ วิลเลจ จำกัด (มหาชน) ผู้สร้างงานอีเวนต์ระดับโลกมากมาย ขึ้นทำเนียบนักจัดอีเวนต์ท็อป 10 ของโลกมาแล้ว ส่วนงานเวิลด์ เอ็กซ์โป ได้เคยเข้าร่วมงานภาครัฐ เป็นผู้สร้างอาคารนิทรรศการของไทยมาหลายครั้ง เช่น เวิลด์ เอ็กซ์โป ที่ประเทศจีนหรือ Shanghai China 2012
เกรียงไกร โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า “ผมไป world Expo มาทั้งหมด 9 ครั้ง ตั้งแต่ปี 1992 ที่ เซวิญ่า ประเทศเสปน 2000 ที่ Hanhover Germany 2005 ที่ Aichi Japan 2010 Shanghai China 2012 ยอซู เกาหลี 2015 มิลาน อิตาลี 2017 Astana Kazakhstan. 2020 Dubai UAE และล่าสุด 2025 Osaka Japan 5 ครั้งไปในฐานะคนทำ 4 ครั้งไปชมงาน”
ปูพื้นฐานกันเล็กน้อย สำหรับ World expo มีมาตั้งแต่แต่ปี ค.ศ. 1851 ซึ่งตรงกับสมัยรัชกาลที่ 4 จัดครั้งแรกจัดกันที่กรุง London ประเทศอังกฤษ โดยช่วงนั้นเป็นยุคปฎิวัติอุตสหกรรม ส่วนประเทศไทยเข้าร่วมในครั้งที่ 2 และหลังจากนั้นก็ร่วมมาโดยตลอด
ในสมัยรัชกาลที่ 4-5 ประเทศสยามไปในฐานะประเทศเอกราชจากเอเซีย เพราะในช่วงนั้นประเทศในเอเซียเป็นเมืองขึ้นประเทศยุโรปเกือบหมด ยกเว้นไทย ญี่ปุ่น และ จีน ไทยจึงไปร่วมเพื่อแสดงตัวตนของประเทศที่เป็นเอกราช
“ในเชิงการฑูตเรามาเหนือชั้นมากโดยเฉพาะที่ กรุงปารีส เพราะเราไม่ยอมเข้าไปตั้งบริเวณที่เป็นประเทศอินโดจีนเพราะเราไม่ใช่เมืองขึ้นของประเทศฝรั่งเศส เราจึงมี pavilionที่อยู่ในตำแหน่งติดกับหอไอเฟล ติดกับ ญี่ปุ่น และ จีน”
มาถึงยุคปัจจุบัน เป็นยุคของ Nation Branding การไปร่วมงานแต่ละประเทศจะนำเสนอภาพลักษณ์ของประเทศต่อสายตาชาวโลก
จะติดท็อป 10-20 ต้องออกแรง ขบคิดกลยุทธ์
สำหรับผู้ชมงานนประเมินได้เลยว่า 95% เป็นประชาชนของประเทศเจ้าภาพ ซึ่ง World expo ทุกครั้งผู้เข้าชมจ่ายเงินเพื่อเข้าชม ดังนั้นโดยเฉลี่ยคนดูจะเข้าชม 1-2 วัน โดยในแต่ละครั้งจะมีประเทศเข้าร่วม150-180 ประเทศ ประเทศเล็กๆจะไปอยู่ใน Joint pavilion แต่ประเทศที่มีกำลังเงินจะสร้าง Pavilion แบบ self build หมายถึงการก่อสร้างอาคารขึ้นมาใช้ตลอดระยะเวลาจัดงาน ซึ่งปกติจะมีอาคารแบบนี้ 40-50 ประเทศ
อย่างในกลุ่มอาเซียน ก็จะมีแค่ สิงคโปร์ อินโด มาเล ฟิลลิปินส์ และ ไทย เท่านั้นที่จะมีอาคารแบบ self build
ส่วนผู้ชมที่เข้ามาชมเมื่อเข้ามาจะเลือกชม pavilion ต่างๆโดยเลือกจากประเทศที่ตนสนใจ ซึ่งแน่นอนประเทศใหญ่ๆอย่าง USA Japan. Germany ฝรั่งเศส ออสเตเลีย จีน เกาหลี อังกฤษ หรือรองๆลงมา อย่าง เนเธอแลนด์ แคนนาดา ออสเตเลีย สเปน บราซิล โปรตุเกส หรือ อาจเป็นกลุ่ม ที่ใช้ ขนาด pavilion ใหญ่ดึงดูด ซาอุ UAE บาห์เรน อิหร่าน อินเดีย กว่าจะไล่ลงมาถึงประเทศแบบไทย
“การที่เราจะทำให้ศาลาไทยกลายเป็น top 10 Top 20 นั้นต้องออกแรงและคิดกลยุทธ์มากมาย ลองย้อนกลับไปในปี ที่ Shanghai เมื่อ 2010 หรือเอาใกล้เข้ามาอีกก็ที่ดูไบ ทำไมเราจึงประสบความสำเร็จ”
เสียดายโอกาสประเทศ คนไทยทำได้ดีกว่านี้
เกรียงไกร กล่าวอีกว่า ถ้าถามว่าประเทศได้อะไรจากการร่วมงานเวิลด์ เอ็กซ์โป ขึ้นกับว่าประเทศต้องการได้อะไรจากงานครั้งนี้ ยกตัวอย่างที่ Shanghai ประเทศจีน อาคารนิทรรศการศาลาไทยมีผู้เข้าชมมากกว่า 7 ล้านคน ทำให้ชาวจีนรู้จักประเทศไทยอย่างมากในช่วงนั้นที่ชาวจีนยังไม่มาไทยเลย ท่องเที่ยวได้รัยอานิสงส์อย่งแน่นอน ตามมาด้วยการค้าขาย
ทั้งนี้ จบงานเวิลด์ เอ็กซ์โปที่ประเทศจีน อาคารศาลาไทยกลายเป็น 1 ใน 7 pavilion ยอดนิยม ส่วนการจัดงานเวิลด์ เอ็กซ์โปที่ดูไบ บริษัททำการสำรวจ วิจัยจากผู้เข้าชม โดยต้องการทราบว่าผู้ชมก่อนเข้ากับหลังเข้าชม pavilion ผู้จัดสามารถสร้างความประทับใจ และทำให้ผู้ชมรับรู้ในมุมที่ผู้จัดต้องการบอก นำเสนอต่อคนเข้าชมงานได้มากแค่ไหน
บทสรุปอย่างรวดเร็วคือ 97% ประทับใจในฐานะผู้จัดงานอย่างมาก และสามารถเปลี่ยนความรับรู้กับประเทศไทยมิติของประเทศเกษตรกรรมเท่านั้น สู่ประเทศที่มีโอกาสต่างๆที่เปิดกว้างมาก ในฐานะที่ไทยเป็นสังคมที่เปิดกว้าง และอาคารศาลาไทยครั้งนั้นยังเป็น Top 4 โดยวัดจาก Google ด้วย
เกรียงไกร กาญจนะโภคิน
เปิดงานวันแรก “เกรียงไกร” ไม่เพียงไปชมงานเวิลด์ เอ็กซ์โป ที่โอซาก้า แต่ถือเป็นการสำรวจตลาดไปในตัว รวมถึงแต่ละประเทศโชว์ศักยภาพอะไรบ้างต่อสายตาชาวโลก เพื่อนำมาต่อยอด พัฒนาธุรกิจ
“ผมไปชมงาน Osaka expo 2025 ตั้งแต่วันเปิด เสียดายโอกาสของประเทศ คนไทยทำได้ดีกว่านี้ได้ครับ”
เหล่านี้เป็นมุมมองของนักจัดอีเวนต์ระดับท็อป 10 ของโลก
อย่างไรก็ตาม เวิลด์ เอ็กซ์โป นอกจากโชว์ศักยภาพประเทศ หากใครติดตามประวัติ เรื่องราวการจัดงานจะทราบว่าแลนด์มาร์กของหลายประเทศ ที่กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยว ยังเกิดจากงานอีเวนต์โลกด้วย หนึ่งในนั้นคือ "หอไอเฟล" ประเทศฝรั่งเศสนั่นเอง หรือแม้กระทั่งชิงช้าสวรรค์ ที่เป็นสัญลักษณ์ตั้งริมแม่น้ำของหลายประเทศในโลกด้วย