สมรภูมิตลาดแอร์ 3 หมื่นล้านบาท แข่งเดือด แบรนด์จีน แห่บุกรอบใหม่!

จับตาตลาดแอร์ไทย ที่มูลค่ากว่า 3 หมื่นล้านบาท ในปี 2568 กำลังเปลี่ยนแปลงเมื่อแบรนด์จีน เร่งขยายตลาด จนถึง เสียวหมี่ ลงสนาม
จับตลาดตลาด "เครื่องปรับอากาศของประเทศไทย" ที่มีมูลค่ากว่า 3.45 หมื่นล้านบาท จากการประเมินของแบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้ารายใหญ่แบรนด์ แอลจี ที่คาดว่าตลาดจะมีการขยายตัว 6% มาจากสภาพอากาศไทยในปีนี้ร้อนช้ากว่าปีก่อน จากปกติอากาศเริ่มต้นเดือน ก.พ. แต่ในปีนี้ 2568 อากาศเริ่มร้อนในช่วงกลางเดือน ก.พ. ทางด้านแบรนด์ มิตซูบิชิ ประเมินตลาดเครื่องปรับอากาศในปีนี้มีมูลค่าประมาณ 3.35 หมื่นล้านบาท ขยายตัว 5%
ทั้งนี้เมื่อประเมินกับในปีก่อน ตลาดเครื่องปรับอากาศของไทย มีการเติบโตสองหลักถึง 14% เนื่องจากปรากฎการณ์ของสภาพอากาศในไทยที่ร้อนมากในทุกปี ทำให้ดีมานด์ของตลาดเครื่องปรับอากาศอยู่ในระดับสูง
สำหรับภาพรวมเครื่องปรับอากาศของไทย ผู้นำตลาดเป็นแบรนด์ จากญี่ปุ่น โดย มิตซูบิชิ ระบุว่า แบรนด์เป็นผู้นำในตลาดที่มีส่วนแบ่ง 30% รองลงมา เป็นแบรนด์จากจีน
ทั้งนี้ในช่วงที่ผ่านมา ได้เห็นการเข้ามาของแบรนด์จีนเข้ามารุกขยายตลาดในไทยมากขึ้น และการย้ายมาผลิตในไทย เพื่อขยายแบรนด์ในตลาดในไทยและภูมิภาคอาเซียน เนื่องจากประเทศไทยเป็นฐานการผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้ามายาวนาน
อีกทั้งภาพรวมตลาดเครื่องปรับอากาศโดยรวมที่มีการแถลงข่าวและเปิดตัวเครื่องปรับอากาศในช่วงไตรมาสแรกของปี 2568 มีทั้ง มิตซูบิชิ โตชิบา แอลจี แคเรียร์ ไฮเออร์ ทีซีแอล ไมเดีย และไฮเซ่นส์ ซึ่งแต่ละแบรนด์เน้นนวัตกรรมของเทคโนโลยีเอไอ การชูเรื่องประหยัดไฟ และการนำเสนอในเรื่องของ คุณสมบัติในการฟอกอากาศ รวมถึงการแข่งขันในด้านราคาอย่างดุเดือด อีกทั้งเมื่อเปรียบเทียบราคาสินค้าแบรนด์จีน จะแตกต่างจากแบรนด์เกาหลีใต้ ประมาณ 10-20%
ล่าสุดมีแบรนด์ใหม่ทำตลาดคือ "เสียวหมี่" (Xiaomi) จากประเทศจีน ซึ่งที่ผ่านมา เสี่ยวมี่ เน้นเรื่องโทรศัพท์มือถือและเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านขนาดเล็กเป็นหลัก แต่การเข้ามาขยายเครื่องปรับอากาศแบรนด์เสี่ยวมี่ ได้เน้นในด้านเทคโนโลยี เช่นเดียวกัน และเน้นทำตลาดในช่วงแรกผ่านออนไลน์ และชอปที่มีอยู่ในสยามพารากอน
หากประเมินการเข้ามาของแบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าจากจีนในไทย โดย “รัชตะ สุทธาพัฒน์ธานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริหารสินค้า เพาเวอร์ มอลล์ บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด ให้วิเคราะห์ไว้ว่า “การแข่งขันในตลาดรวมเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีแบรนด์จากประเทศจีนเข้ามารุกลงทุนเปิดโรงงานใหม่ในไทย และโหมทำการตลาดมากขึ้น เนื่องจากสงครามทางการค้า และเรื่องภาษีเป็นปัจจัยหลัก ประกอบกับ ซัพพลายเชนของเครื่องใช้ไฟฟ้าไทยมีความแข็งแกร่ง เหมือนกับอุตสาหกรรมรถยนต์ จึงเป็นปัจจัยสำคัญเลือกมาลงทุนในไทย แม้ว่าต้นทุนค่าแรงของไทยเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นในอาเซียน โดยเฉพาะ เวียดนาม ไทยอยู่ในระดับสูงกว่าก็ตาม”
อย่างไรก็ตาม ต้องจับตา การเข้ามาของแบรนด์จีนน้องใหม่ในตลาดเครื่องปรับอากาศของไทย ที่จะมีผลทำให้ตลาดต้องแข่งขันทางด้านราคาสินค้าดุเดือดขึ้นอีก เพราะทุกค่ายต้องประกาศต้องการขึ้นเป็นผู้นำในตลาดเครื่องปรับอากาศของไทยทั้งหมด !