จากดีลประวัติศาสตร์ 2 แสนล้าน บิ๊กซี ยุคเจ้าสัวเจริญ เปลี่ยนไปอย่างไร

เจาะอาณาจักรค้าปลีก บิ๊กซี ภายใต้เจ้าสัวเจริญ พลิกค้าปลีกในรอบเกือบ 10 ปีอย่างไร เมื่อโจทย์ลูกค้าและการแข่งขันไม่เหมือนเดิม
สำรวจธุรกิจค้าปลีกไทย มีมูลค่ากว่า 4.4 ล้านล้านบาท จากการประเมินของ สมาคมผู้ค้าปลีกไทย และคาดว่าจะเติบโต 3-5% เป็นการเติบโตแบบไม่สมดุล และเป็นการค่อยๆ ฟื้นตัว ส่วน "ศูนย์วิจัยกสิกรไทย" ประเมินในปีนี้ค้าปลีกไทย จะมียอดขายรวม 4.25 ล้านล้านบาท เติบโต 3% ถือว่าอัตราต่ำสุดในรอบ 4 ปี แรงกระทบหลักมาจากเศรษฐกิจ และกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ให้ความระมัดระวังในการใช้จ่าย และค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้น จากราคาสินค้าต่างๆ รวมถึงการเข้ามาของสินค้าหลากหลายรายการจากประเทศจีน ที่มุ่งทำตลาดผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ ต่างได้รับความสนใจจากกลุ่มผู้บริโภคคนไทยมากขึ้น มีผลต่อผู้ประกอบไทยทุกกลุ่ม
รวมถึงส่งผลต่อเนื่องไปยังตลาดการลงทุนในตลาดหุ้นไทย และ บิ๊กค้าปลีกรายใหญ่ในประเทศกับ “บิ๊กซี” ที่มีแผนระดมทุนทุนในตลาดหุ้นไทย เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้แก่ธุรกิจ และใช้สำหรับการขยายลงทุนไปในต่างประเทศ ต้องชะลอแผนไอพีโอออกไปก่อน
ย้อนอดีต จุดเริ่มต้นกลุ่มเซ็นทรัล - คาสิโน กรุ๊ป เปลี่ยนมือสู่ เจ้าสัวเจริญ
บิ๊กซี ที่อยู่ในตลาดของประเทศไทย มาตั้งแต่ปี 2537 ภายใต้การบุกเบิกของเซ็นทรัล และ กลุ่มอิมพีเรียล ผนึกกำลังกัน ต่อมาเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ กระทบต่อกลุ่มเซ็นทรัล จำเป็นต้องขายหุ้นให้แก่ กลุ่มคาสิโน กรุ๊ป ยักษ์ใหญ่จากประเทศฝรั่งเศส เข้ามาถือหุ้นใหญ่ หลังจากนั้นกลุ่มคาสิโน กรุ๊ป ได้เดินหน้าขยายธุรกิจด้วยการเข้าไปซื้อ คาร์ฟูร์ ห้างค้าปลีกรายใหญ่ในไทย พร้อมปรับเปลี่ยนทุกสาขาให้เป็น บิ๊กซี ส่งผลให้ บิ๊กซี มีสาขาทั้งหมดในไทยกว่า 100 สาขา เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
แต่การทำธุรกิจ มีทั้งโอกาสและความเสี่ยงเสมอ! ทำให้ช่วงปี 2559 กลุ่ม คาสิโน กรุ๊ป ประสบปัญหาทางการเงิน จากการขาดสภาพคล่อง จึงจำเป็นต้องขายธุรกิจค้าปลีก บิ๊กซี ทั้งในประเทศไทย ลาว และเวียดนาม สำหรับไทย ช่วงเวลานั้น กลุ่มทีซีซี ของ “เจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี” ได้เข้ามาร่วมประมูลแข่งกับกลุ่มเซ็นทรัล แต่ท้ายที่สุด กลุ่มทีซีซีสามารถคว้าดีลไปได้ด้วยมูลค่าสูงเป็นประวัติการณ์ที่ 2 แสนล้านบาท หลังจากนั้น กลุ่มเซ็นทรัล ตัดสินใจขายหุ้นที่มีอยู่ในบิ๊กซี ในสัดส่วน 25% ออกไป เนื่องจากกลุ่มเซ็นทรัลได้สิทธิ์บิ๊กซีในเวียดนามแล้ว
เจ้าสัวเจริญ จึงถือครองอาณาจักรบิ๊กซี อย่างสมบูรณ์แบบ โดยในช่วงเดือน ก.ย. 2560 บิ๊กซี จึงประกาศขอซื้อหุ้นคืนจากรายย่อย เพื่อถอนบริษัทออกจากการจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย ภายหลังเข้ามาไอพีโอ ตั้งแต่ปี 2555 ปิดฉาก 5 ปีในตลาดหุ้นไทย
ถือว่า บิ๊กซี ที่อยู่ภายใต้ กลุ่มทีซีซี ตั้งแต่ปี 2560 เป็นต้นไป โดยในช่วงเวลาดังกล่าว คู่แข่งสำคัญในตลาดค้าปลีกของบิ๊กซีคือ "โลตัส" จากกลุ่มซีพี ที่มีสาขาไม่ห่างจากกันมากนัก โดยโลตัส มีจำนวนมากกว่า 100 สาขาเช่นกัน
ยุคเจ้าสัวเจริญ บิ๊กซี พลิกโฉมในรอบทศวรรษ
หลังจากนั้น บิ๊กซี ภายใต้ บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ บีเจซี ผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภครายใหญ่ของกลุ่มเจ้าสัวเจริญ โดยในปี 2566 บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ ได้ปรับทัพองค์กรใหม่ พร้อมแยกธุรกิจ ค้าปลีกค้าส่ง ของ บิ๊กซี ให้มาอยู่ภายใต้บริษัท บิ๊กซี รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ “BRC” หรือ บิ๊กซี รีเทล เพื่อเตรียมเข้าไประดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยอีกครั้ง ซึ่งมีการประเมินมูลค่าระดมทุนไว้ประมาณ 1.90 หมื่นล้านบาท
พร้อมได้แต่งตั้ง “อัศวิน เตชะเจริญวิกุล” มาดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่คนแรก ของ บิ๊กซี รีเทล คนแรก แต่ต่อมา บิ๊กซี ได้ประกาศขอเลื่อนแผนการระดมทุนในตลาดหุ้นออกไปก่อน เนื่องจากสภาพตลาดโดยรวมอาจยังไม่เหมาะสม
หากประเมินการขยายอาณาจักรของบิ๊กซีนั้น ภายใต้พ่อทัพ "อัศวิน" ไม่ได้มุ่งเฉพาะในประเทศไทย ได้มีการวางยุทธศาสตร์เชื่อมต่อกับ กลุ่มบีเจซี ที่มีธุรกิจในอาเซียน และในหลายประเทศทั่วโลก ได้วางโรดแมปไปสู่ลาดอาเซียน ต่อเนื่องไปถึงจีน และอินเดีย ทำให้ บิ๊กซีได้สยายปีกเข้าไปลงทุนในฮ่องกง ผ่านการเข้าไปซื้อกิจการร้าน AbouThai จำนวน 24 แห่ง ในฮ่องกงในช่วงเดือน ส.ค. 2566 พร้อมเปลี่ยนชื่อเป็น บิ๊กซี (Big C) ตั้งแต่เดือน ก.ย. 2566 ได้วางแผนเปิดสาขาเพิ่มปีละ 25 สาขา เพื่อให้มีสาขาครบ 99 สาขา ภายในสิ้นปี 2569
สำหรับเป้าหมายการขยายไปในฮ่องกง เพื่อเชื่อมต่อสินค้าไทยไปในฮ่องกงและตลาดจีนที่มีขนาดใหญ่ ซึ่งมีการประเมินยอดขายของ บิ๊กซี ในตลาดฮ่องกง จะถึงระดับ 1,000 ล้านฮ่องกงดอลลาร์ในปี 2568 แตะระดับ 1,500 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง ในปี 2569
ทางด้านประเทศในภูมิภาคอาเซียนได้เข้าไปขยายทั้ง กัมพูชา และลาว มีการเปิดไฮเปอร์มาร์เก็ต ในเวียงจันทน์ ครั้งแรก ในช่วงต้นปี 2567 ที่ผ่านมา ถือเป็นค้าปลีกรายใหญ่ที่เปิดสาขาในลาว
อีกทั้งในไทย หลายสาขามีการปรับโฉมฟอร์แมตรูปแบบใหม่ๆ เพื่อให้สอดรับกับลูกค้าเช่น บิ๊กซี รัชดา สาขาที่เปิดให้บริการมายาวนาน ได้ปรับไปสู่ บิ๊กซี เพลส (Big C place) จากเดิมเป็นไฮเปอร์มาร์เก็ต โดยสาขาแบบใหม่เน้นการขยายพื้นที่ โซนสำหรับคนเข้ามาใช้ชีวิตและพื้นที่สังสรรค์ แฮงค์เอาต์ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนยุคนี้และดีมานด์ของลูกค้าในแต่ละทำเล
ภาพรวมธุรกิจบิ๊กซี ในปี 2568 มีสโตร์ขนาดใหญ่ในประเทศไทย ประเทศกัมพูชา และประเทศลาว รวม 207 สาขา แบ่งเป็น ไฮเปอร์มาร์เก็ต 155 สาขา ฟู้ดเพลส 18 สาขา มาร์เก็ต 34 สาขา สำหรับ สาขาขนาดเล็ก กับ “บิ๊กซีมินิ” มีจำนวน 1,616 สาขา รวมถึงธุรกิจในเขตบริหารพิเศษฮ่องกง และประเทศเวียดนาม
ปีแห่งการปรับเปลี่ยน รีโนเวท เปิด-ปิดสาขา
ซีอีโอ “อัศวิน เตชะเจริญวิกุล” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) ให้มุมมองไว้ว่า "เศรษฐกิจไทยในปีนี้ไม่ง่าย และมีความท้าทายหลายด้าน ทั้งการเติบโตที่ไม่หวือหวา กำลังซื้ออยู่ในภาวะชะลอตัว โดยเฉพาะตลาดล่าง รวมถึงต้องติดตามปัจจัยภายนอกกับนโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐ ทรัมป์ 2.0 มีผลต่อเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกอย่างไร ส่วนปัจจัยบวกขณะนี้มีเพียงนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ"
แผนของบริษัทในปีนี้ ที่ประกาศไว้ ได้ใช้งบลงทุน 6,091 ล้านบาท ในการขยายสาขาค้าปลีกรวม 207 สาขา แบ่งเป็น สาขาขนาดใหญ่ 7 สาขา และขนาดเล็ก 200 สาขา โดยทำเลใหม่ที่สนใจทั้ง บลูพอร์ต หัวหิน, Phenix ประตูน้ำ, สวนนงนุช, โครงการเพชรไพบูลย์, จตุจักร และ Parc Bangna เป็นต้น เพื่อขยายฐานกลุ่มเป้าหมาย
นอกจากนี้เตรียมรีโนเวทสาขาครั้งใหญ่ถึง 117 สาขา มีทั้งฟอร์แมตขนาดใหญ่ 17 สาขา และขนาดเล็กอีก 100 สาขา หลากหลายทำเลทั้ง รัชดาภิเษก, บางปะกอก, พัทยา 1, บางนา, สุขาภิบาล 3-1, นครปฐม, บางบอน, อำนาจเจริญ, หาดใหญ่ 1, ภูเก็ต, พัทยา 3, แฟชั่นไอส์แลนด์, สุวินทวงศ์, หางดง, วังสะพุง, สีคิ้ว และ พังงา เป็นต้น รวมถึงปรับพื้นที่ค้าปลีกให้เป็นมากกว่าพื้นที่ชอปปิง โดยจัดทำพื้นที่จัดกิจกรรม พื้นที่สำหรับพบปะสังสรรค์ และดึงร้านค้าใหม่ๆ มาเสริมทัพ เนื่องจากการใช้จ่ายของกลุ่มลูกค้าในปัจจุบันไม่ได้มาที่ห้างค้าปลีกเพื่อซื้อสินค้าเท่านั้น แต่เข้ามาใช้ชีวิตและทำงานด้วยเช่นกัน รวมถึงยังให้น้ำหนักกับการขยายออนไลน์ ผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ จึงเน้นปรับสโตร์ให้ครอบคลุมการสั่งซื้อสินค้าผ่านออนไลน์ในพื้นที่ต่างๆ
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางการรีโนเวท และเปิดสาขาใหม่ ในอีกด้านเป็นปีที่มีการปิดหลายสาขาเช่นกัน โดยเตรียมปิดสาขา 3 ทำเลที่หมดสัญญาเช่า ทั้ง บิ๊กซี สาขา รัตนาธิเบศร์ 1 จากปัจจุบันมี 2 สาขา โดยสัญญาเช่าพื้นที่สาขาที่ติดกับโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ รัตนาธิเบศร์ จะหมดอายุสัญญากลางปีนี้ จึงเปิดจนถึงสิ้นเดือน มี.ค. 2568 ,บิ๊กซี สาขาศรีนครินทร์ กำหนดเปิดให้บริการถึงสิ้นเดือน ส.ค.นี้ และ บิ๊กซี สาขาดอนเมือง เปิดให้บริการถึงสิ้นเดือน ธ.ค.นี้ ซึ่งการปิดแต่ละสาขาจะพิจารณาจากการหมดสัญญาเช่าเป็นหลัก รวมถึงการมีสาขาของบิ๊กซีที่อยู่ใกล้เคียง ให้ลูกค้าเข้ามาใช้บริการได้
เทียบฟอร์มกับคู่แข่งค้าปลีก "โลตัส"
ท่ามกลางสงครามค้าปลีกที่แข่งขันแบบไม่มีวันจบสิ้น โดยเมื่อเทียบฟอร์มค้าปลีกคู่แข่งอย่าง โลตัส จากกลุ่มซีพี ได้มีการปรับกลยุทธ์การทำธุรกิจค้าปลีกใหม่ เนื่องจากการเปิดสาขาของโลตัส ไม่ได้อยู่ในรูปแบบสาขาเดี่ยวอีกต่อไป จึงได้ร่วมมือกับ ค้าส่งแม็คโคร ขยายสาขาไปในรูปแบบไฮบริดหลายทำเล ตั้งแต่ช่วงปี 2566 ที่ผ่านมา สาขาแรกคือ สมุทรปราการ เพื่อดึงดูดกลุ่มเป้าหมายทั้งค้าปลีกและค้าส่งมาไว้ที่เดียวกัน รวมถึงเดินหน้ารีโนเวทสาขาใหญ่หลายทำเล รับมือการแข่งขันที่เปลี่ยนแปลงไป โดยในปัจจุบัน ทั้ง แม็คโคร และโลตัส มีสาขาในทุกฟอร์แมตรวมกันประมาณ 2,600 สาขา
หากเปรียบกับโลตัส และบิ๊กซี ในภาวะที่เศรษฐกิจไทยที่อยู่ในภาวะทรงตัว ทำให้เห็นการเดินเกมแข่งขันของ 2 ค่าย ต่างชูเรื่องทำโปรโมชันอย่างเข้มข้น ทั้งสินค้าราคาถูก อย่างต่อเนื่อง เรียกว่าจัดแทบทุกสัปดาห์ หมุนเปลี่ยนกันไปในแต่ละรายการสินค้า ทั้งการลดราคาสินค้า และจัดซื้อ 1 แถม 1 เพื่อดึงดูดกลุ่มลูกค้า รวมถึงการทำสินค้าโอนแบรนด์ หรือ เฮ้าส์แบรนด์ ที่มีราคาต่ำกว่าสินค้าทั่วไป จึงทำให้เกิดคำถามของผู้บริโภคว่า ใครขายสินค้าถูกกว่ากัน นอกจากนี้ยังแข่งขันในช่องทางออนไลน์ ผ่านการบริการส่งสินค้าฟรีเมื่อซื้อสินค้าตามที่กำหนดไว้ รวมถึงการส่งอย่างรวดเร็ว ภายในวันเดียวกัน เป็นต้น
ทั้งนี้จึงน่าติดตามต่อไปว่า 2 ค่ายจะใช้แม่เหล็กอะไรมาช่วยดึงดูดลูกค้าเข้ามาใช้บริการให้มากขึ้น และเพิ่มความถี่ในการใช้บริการในแต่ละสาขา ท่ามกลางผู้บริโภคในยุคนี้ ต่างฉลาดเลือกและฉลาดซื้อ
ขณะเดียวกันเมื่อประเมินผลประกอบการของ บิ๊กซี ที่ได้รายงานไปยัง "กรมพัฒนาธุรกิจการค้า" เป็นอีกผลสะท้อนที่น่าสนใจเช่นกัน
ส่องรายได้และผลกำไรสุทธิ
รายได้บิ๊กซี ระหว่างปี 2562 - 2566
- ในปี 2562 รายได้รวม 129,010 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.05%
- ในปี 2563 รายได้รวม 112,050 ล้านบาท ลดลง 13.14% เป็นปีที่เผชิญสถานการณ์โควิด
- ในปี 2564 รายได้รวม 111,538 ล้านบาท ลดลง 0.45%
- ในปี 2565 รายได้รวม 111,504 ล้านบาท ลดลง 0.03%
- ในปี 2566 รายได้รวม 112,106 ล้านบาท ลดลง 0.53%
ผลกำไรสุทธิ ระหว่างปี 2562-2566
- ในปี 2562 ขาดทุนสุทธิ -4,470 ล้านบาท ติดลบ 170.13%
- ในปี 2563 ขาดทุนสุทธิสูงถึง -24,016 ล้านบาท ติดลบ 437.16% เป็นผลจากโควิด
- ในปี 2564 พลิกกลับมามีกำไรสุทธิ 3,186 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 113.26%
- ในปี 2565 กำไรสุทธิ 5,109 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 60.36%
- ในปี 2566 กำไรสุทธิ 3,127 ล้านบาท ลดลง 38.78%
สำหรับในปี 2567 ยังไม่ได้มีการแจ้งรายได้และกำไรสุทธิ ต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า
ทั้งหมดแสดงถึง การแข่งขันในตลาดค้าปลีกรายใหญ่ต่างเผชิญปัจจัยการทำธุรกิจที่ไม่เหมือนเดิม เป็นอีกโจทย์ความท้าทายของ บิ๊กซี ในการนำพาธุรกิจผงาดขึ้นอีกครั้งให้ได้ !