‘มัลดีฟส์’ เกาะสวรรค์ 5 ทุนโรงแรมไทย! ‘เซ็นทารา’ ทุ่ม 6.8 พันล้านเปิด 2 รีสอร์ตใหม่

ล่าสุด “เซ็นทารา” เครือโรงแรม และรีสอร์ตสัญชาติไทยของตระกูล “จิราธิวัฒน์” ลุยเปิดรีสอร์ตใหม่อีก 2 แห่ง ได้แก่ โรงแรมเซ็นทารา มิราจ ลากูน มัลดีฟส์ ขนาด 145 ห้องพัก เปิดให้บริการเมื่อวันที่ 1 พ.ย.2567 และโรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ ลากูน มัลดีฟส์ ขนาด 142 ห้องพัก มีกำหนดเปิดให้บริการวันที่ 1 เม.ย. 2568 จะทำให้เครือเซ็นทารามีโรงแรมทั้งหมด “4 แห่ง” ในมัลดีฟส์

ขณะที่ทุนโรงแรมไทยรายอื่นๆ อาทิ กลุ่มไมเนอร์ อินเตอร์เนชันแนล ปัจจุบันมีโรงแรมในมัลดีฟส์ 9 แห่ง, กลุ่มสิงห์ เอสเตท มี 3 แห่ง, กลุ่มดุสิตธานี มี 2 แห่ง และกลุ่มออนิกซ์ มี 1 แห่ง

แอนดรูว์ แจนสัน ผู้จัดการทั่วไป โรงแรมเซ็นทารา มิราจ ลากูน มัลดีฟส์ และเซ็นทารา แกรนด์ ลากูน มัลดีฟส์ เปิดเผยว่า โรงแรมใหม่ในมัลดีฟส์ทั้ง 2 แห่งของเครือเซ็นทารา มีมูลค่าลงทุนรวมราว 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นประมาณ 6,800 ล้านบาท (รวมค่าเช่าเกาะระยะยาว ค่าถมเกาะ และค่าก่อสร้างตกแต่งโรงแรม) ตั้งอยู่บนเกาะสวรรค์ในมาเล่ อะทอลล์เหนือ

เป้าหมายการทำตลาดของแต่ละโรงแรมนั้นแตกต่าง โรงแรม “เซ็นทารา มิราจ ลากูน มัลดีฟส์” ซึ่งเป็นโครงการส่วนแรกบนเกาะ มุ่งเจาะนักท่องเที่ยว “กลุ่มครอบครัว” ตามคอนเซปต์ “มิราจ” ธีมโฮเทลยอดนิยมสำหรับครอบครัว และที่นี่คือ มิราจ ลำดับที่ 4 ของเครือเซ็นทารา ต่อจากพัทยา ดูไบ และเวียดนาม ด้านโครงการส่วนที่สองบนเกาะ โรงแรม “เซ็นทารา แกรนด์ ลากูน มัลดีฟส์” เน้นเจาะตลาดคู่รักฮันนีมูน และครอบครัวที่มีลูกหลานโตแล้ว

“เซ็นทารา มิราจ ลากูน มัลดีฟส์ มีธีมชัดเจนว่าเป็น ‘แฟมิลี่ โฮเทล’ (Family Hotel) ทุกองค์ประกอบภายในโรงแรมถูกออกแบบเพื่อรองรับตลาดครอบครัวเป็นหลัก”

และตั้งแต่เปิดให้บริการโรงแรมนี้ช่วง 3 เดือนแรก (พ.ย.2567 - ม.ค.2568) พบว่าลูกค้า 5 อันดับแรกมาจากตลาดจีน รัสเซีย ไทย สหราชอาณาจักร และอินเดีย ตั้งเป้าตลอดปีแรกที่ให้บริการมีอัตราการเข้าพัก 45-55%

ขณะที่โครงสร้างลูกค้าเป็นตลาดครอบครัว 70% ส่วนอีก 20% เป็นคู่รักฮันนีมูน ที่เหลือเป็นกลุ่มเดินทางคนเดียว (Solo Traveler) นักธุรกิจ และกลุ่มเล็กเดินทางพร้อมเพื่อน มีจำนวนวันพำนักเฉลี่ยอยู่ที่ 5.5 คืน ด้าน “ราคาห้องพัก” ของโรงแรมนี้ ช่วงโปรโมชันเปิดตัวอยู่ที่ 400-1,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อคืน หรือคิดเป็น 13,600-34,000 บาทต่อคืน

“ภาพรวมโครงสร้างนักท่องเที่ยวในมัลดีฟส์ปัจจุบัน ส่วนใหญ่กว่า 60% เป็นตลาดคู่รักฮันนีมูน และอีก 30% เป็นตลาดครอบครัว ต่างจากเมื่อ 10 ปีก่อนที่ภาพใหญ่เป็นตลาดคู่รักมากกว่า กลุ่มครอบครัวยังค่อนข้างน้อยมาก นอกจากนี้เริ่มมีลูกค้ากรุ๊ปทัวร์จากไทย สิงคโปร์ และอินเดีย เดินทางเข้ามัลดีฟส์มากขึ้น เพราะเดินทางง่าย ใช้เวลาบินแค่ 4 ชั่วโมง”

แอนดรูว์ ฉายภาพรวมตลาด “โรงแรมในมัลดีฟส์” ด้วยว่า ปัจจุบันมีจำนวนรวม 178 แห่ง เพิ่มจาก 5 ปีก่อนที่มี 130 แห่ง และในอีก 3 ปีข้างหน้าคาดมีโรงแรมเปิดใหม่เพิ่มอีก 30 แห่ง

สอดรับกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของมัลดีฟส์ ล่าสุดมีการขยาย “ท่าอากาศยานนานาชาติมาเล่” (ชื่อทางการคือ ท่าอากาศยานนานาชาติเวลานา) เพิ่มขีดการรองรับผู้โดยสารเป็น 7 ล้านคนต่อปี จากเดิมรองรับได้เพียง 2 ล้านคนต่อปี โดยการพัฒนาเฟสใหม่ของสนามบินฯ จะแล้วเสร็จเดือนก.ค. 2568 รองรับการเติบโตของนักท่องเที่ยวต่างชาติ จากปีที่แล้วมีจำนวนเดินทางมามัลดีฟส์ 2 ล้านคน ซึ่งคาดการณ์ว่าจะเพิ่มเป็น 2.2 ล้านคนในปีนี้

ในมัลดีฟส์มีเกาะรวมกว่า 1,100 เกาะ แบ่งเป็นเกาะที่มีคนอาศัย (ไม่มีโรงแรม) จำนวน 150 เกาะ นอกนั้นเป็นเกาะว่าง 850 เกาะ โดยทุกๆ ปีทางรัฐบาลมัลดีฟส์จะเปิดให้บิดดิ้ง (Bidding) เสนอราคาเช่าเกาะระยะยาว ครั้งละ 3-5 เกาะ ให้นักลงทุนมาบิดดิ้งแข่งกันว่าใครให้ราคาดีที่สุด แน่นอนว่านักลงทุนชอบสร้างโรงแรมใกล้สนามบิน ทำให้โซนอะทอลเหนือ และอะทอลใต้เป็นตัวเลือกดีที่สุด แต่ด้วยตอนนี้ไม่มีเกาะแบบธรรมชาติ ทำให้นักลงทุนต้องเลือกซื้อแบบลากูน มีน้ำตื้นแล้วมาถมเกาะเอาเอง ซึ่งสามารถดีไซน์ได้ว่าอยากถมเป็นเกาะรูปหัวใจ เพื่อให้นักท่องเที่ยวมองลงมาจากเครื่องบินเห็นแล้วประทับใจ

“คู่แข่งของมัลดีฟส์มีหลายเดสติเนชัน ทั้งตุรเคีย เซเชลส์ รวมถึงซาอุดีอาระเบีย ที่ตอนนี้กำลังพัฒนาโครงการ Red Sea สถานที่ชายฝั่งทะเลแดง ในเอเชียก็มีบาหลี และไทยที่มีภูเก็ต และสมุยเป็นบีชเดสติเนชันอันโดดเด่น”

ในมุมสถานการณ์ “ราคาห้องพัก” ของมัลดีฟส์ สามารถปรับขึ้นได้ 5-10% ส่วนในแง่ “อัตราการเข้าพัก” มีแนวโน้มลดลง จากการแข่งขันเปิดโรงแรมใหม่ มีซัพพลายในตลาดมากขึ้น โดยมีผู้ประกอบการลงทุนเปิดโรงแรมบนเกาะที่มีชาวมัลดีฟส์อาศัยอยู่ (Local Island) ขายห้องพักราคาต่ำกว่าเกาะรีสอร์ต (Resort Island) เป็นทางเลือกแก่นักท่องเที่ยว

“แม้ที่ผ่านมาภาพลักษณ์โรงแรมในมัลดีฟส์จะเป็นแนวลักชัวรี เจาะลูกค้าไฮเอนด์ แต่ปัจจุบันมัลดีฟส์เองก็ต้องการรายได้ท่องเที่ยวเข้าประเทศมากขึ้น ทำให้ต้องขยายเซกเมนต์เจาะกลุ่มครอบครัวมากขึ้น ไม่ได้โฟกัสเฉพาะตลาดคู่รักฮันนีมูนอย่างเดียว”

ดิลิป ราชากาเรีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า มัลดีฟส์เป็นตลาดที่แข็งแรงของ “กลุ่มไมเนอร์” ปัจจุบันมีโรงแรม 9 แห่งภายใต้โมเดลธุรกิจที่หลากหลาย ทั้งการลงทุนเป็นเจ้าของเอง 100% รวมถึงการร่วมทุน (JV) และการรับบริหารโรงแรม โดยแนวโน้มการลงทุนในอนาคต บริษัทจะเน้นเข้ารับบริหารเพิ่มขึ้น

“มัลดีฟส์ถือเป็นคีย์เดสติเนชันที่มีศักยภาพสูง เห็นได้จากไตรมาส 4 ที่ผ่านมามีรายได้ต่อห้องพัก (RevPAR) เติบโตระดับดับเบิล ดิจิต (Double-digit) หรือไม่น้อยกว่า 10%”

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์