‘เซ็นทารา’ ชูโฉมใหม่ ‘มิราจ’ ทุ่ม 1.4 พันล้าน สู้ศึกโรงแรม ‘พัทยา’ โอเวอร์ซัพพลาย

“พัทยา” เมืองท่องเที่ยวระดับโลกของไทยมีการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องหลังวิกฤติโควิด-19 จากภาคการลงทุน มีการเกิดขึ้นของโรงแรม ที่พัก อสังหาริมทรัพย์ต่างๆ รองรับดีมานด์นักท่องเที่ยวชาวไทย และต่างชาติที่เดินทางมาเยือนไม่ขาดสาย

นางสาวจุไรรัตน์ มงคลวงศ์สิริ รองประธานฝ่ายขาย โรงแรม และรีสอร์ตในเครือเซ็นทารา กล่าวว่า ปัจจุบันมีซัพพลายห้องพักจากโรงแรมเปิดใหม่ในพัทยาเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 20% เมื่อเทียบกับปี 2562 ก่อนโควิดระบาด มีโรงแรมระดับ 3-4 ดาวเพิ่มขึ้น ทำให้ภาพรวมตลาดเจอปัญหาโอเซอร์ซัพพลาย ต้องแข่งขันกันด้านราคา มีลด แลก แจก แถมบ้าง

ขณะที่ช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ทางเมืองพัทยาได้จัดอีเวนต์ และกิจกรรมด้านเอนเตอร์เทนเมนต์จำนวนมาก โดยเฉพาะด้านดนตรี และกีฬา มุ่งสู่การเป็นฮับด้านอีเวนต์ ยกตัวอย่าง งานเทศกาลพลุนานาชาติ พัทยา ถือเป็นอีกงานที่ดึงคนเข้าพักโรงแรมทั่วเมืองได้ดีมาก ช่วยสร้างจุดขายใหม่มาเสริมจุดแข็งเรื่องหาดทรายชายทะเล ทั้งยังเดินทางได้สะดวก จากสนามบินสุวรรณภูมิใช้เวลาเพียง 1.30 ชั่วโมง ปัจจัยเหล่านี้ทำให้นักลงทุนเข้ามาสร้างโรงแรมในพัทยามากขึ้นเพื่อรองรับดีมานด์ โดยเฉพาะโรงแรมเชนต่างชาติ

สำหรับตลาดพัทยา เครือเซ็นทารา ได้เปิดให้บริการโรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ มิราจ บีช รีสอร์ท พัทยา นับเป็นธีมโฮเทลแห่งแรกในพัทยา เปิดให้บริการเมื่อปี 2552 หรือกว่า 16 ปี หลังเจ้าสัวสุทธิเกียรติ จิราธิวัฒน์ ได้ไอเดียการปั้นคอนเซปต์โรงแรมนี้จากแอฟริกาใต้ และอเมริกา สรุปเป็นชื่อธีมว่า “ลอสต์ เวิลด์” (Lost World) เนรมิตประสบการณ์ท่องเที่ยว และเข้าพักแนวผจญภัยในโรงแรมขนาดใหญ่บนที่ดิน 43 ไร่ ติดหน้าหาดวงศ์อมาตย์ 300 เมตร

โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ มิราจ บีช รีสอร์ท พัทยา ถือเป็นโรงแรมที่มีส่วนจุดประกายช่วยเปลี่ยนภาพจำเมืองพัทยา ยกระดับภาพลักษณ์สู่เดสติเนชันระดับพรีเมียมมากขึ้น สามารถเจาะนักท่องเที่ยวกลุ่มครอบครัวได้สำเร็จ จากเดิม เคยถูกมองว่าเป็นเดสติเนชันสำหรับชายโสดในสายตานักท่องเที่ยวต่างชาติ

“หากเปรียบเทียบกับภาพลักษณ์เดิมๆ ของพัทยาที่เคยถูกมองว่าเป็น เซ็กซ์ เดสติเนชัน เมื่อ 20 ปีก่อน ปัจจุบันให้คะแนนการเปลี่ยนภาพลักษณ์เมืองแตะระดับ 50% สู่ภาพลักษณ์ใหม่ พรีเมียม เดสติเนชัน เรียกได้ว่าผ่านมาครึ่งทางแล้วในตอนนี้ ดูได้จากตลาดนักท่องเที่ยวซาอุดีอาระเบียที่เคร่งมากๆ ยังเลือกมาพัทยา แต่ก็มีบางประเทศที่ยังไม่ยอมมา เช่น สวิตเซอร์แลนด์ ที่อาจมองว่าภาพลักษณ์พัทยาไม่ค่อยดีนัก การเปลี่ยนความรู้สึกนักท่องเที่ยวจึงเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา”

ขณะเดียวกัน ต้องอาศัยความร่วมมือจากทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน ซึ่งปัจจุบันจะเห็นว่ามีสถานที่ท่องเที่ยวประเภทสวนน้ำ สวนสนุก และตลาดน้ำ รองรับกลุ่มครอบครัวมากขึ้น 

ทุ่ม 1.4 พันล้านปรับโฉมใหญ่ “มิราจ พัทยา”

โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ มิราจ บีช รีสอร์ท พัทยา ถือเป็นธีมโฮเทลแห่งแรกในประเทศไทย ล่าสุดเพิ่งรีโนเวตปรับโฉมครั้งใหญ่เสร็จเมื่อเดือนธ.ค. 2567 มีทั้งหมด 555 ห้องพัก ใช้เงินลงทุน 1,400 ล้านบาท เพื่อรองรับการแข่งขันของธุรกิจโรงแรมในพัทยา ซึ่งมีบริษัทอสังหาริมทรัพย์หลายรายเข้ามาพัฒนาโรงแรมใหม่อย่างต่อเนื่อง

“เฉพาะคู่แข่งโดยตรงที่ชนกับโรงแรมนี้มี 6-7 แห่งในปัจจุบัน แต่เราก็มั่นใจในตัวโปรดักต์หลังปรับโฉมครั้งใหญ่ โดยโฟกัสหลักมุ่งจับตลาดพรีเมียมและลักชัวรี ซึ่งในขั้นตอนการตัดสินใจเลือกโรงแรม ลูกค้ามองหาความคุ้มค่าทั้งเวลา และค่าใช้จ่าย มาที่เดียวจบ ไม่ต้องออกไปข้างนอกอีก จึงเลือกเข้าพักที่นี่แทนการไปเช่าโรงแรมอื่นแล้วค่อยออกไปเที่ยวสวนน้ำสวนสนุกอีกแห่ง ขณะเดียวกันเท่าที่ทราบมา พบว่าลูกค้าไปเข้าพักธีมโฮเทลแห่งอื่นในพัทยา แล้วกลับมาพักกับเราอีกครั้ง นั่นแสดงว่าเราต้องมีอะไรดี”

หลังจากรีโนเวตโรงแรมนี้ ได้ตั้งเป้าเพิ่มราคาห้องพักเฉลี่ย (ADR) 30% เป็นระดับ 6,000-10,000 บาท/ห้อง/คืน เมื่อเทียบกับช่วงก่อนโควิดซึ่งราคาขายอยู่ที่ 5,000-8,000 บาท/ห้อง/คืน พร้อมตั้งเป้าเพิ่มราคาห้องพักขึ้นปีละ 15-20% ขณะที่อัตราการเข้าพักตลอดปีนี้ตั้งเป้าไว้อย่างน้อย 80%

 

คู่แข่งเพิ่ม เค้กก้อนใหญ่ สู้ด้วยความไว

เมื่อคู่แข่งในพัทยามีมากขึ้น เค้กก้อนใหญ่ขึ้น เครือเซ็นทาราต้องเร็ว ตอบสนองได้ไวกับพฤติกรรมของลูกค้า และคู่แข่ง เพื่อให้ได้ส่วนแบ่งมากกว่า และคอยติดตามสถานการณ์ของนักท่องเที่ยวจากตลาดต่างๆ พร้อมดึงลูกค้าประเทศใหม่ๆ เข้ามา

เช่น ลูกค้าจากซาอุดีอาระเบีย เดิมมองว่าพัทยาเป็นเดสติเนชันไม่เหมาะกับเด็ก แต่ปัจจุบันลูกค้าเปลี่ยนความคิดที่มีต่อพัทยาว่าไม่เหมือนเมื่อ 20 ปีก่อน เลือกเข้าพักโรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ มิราจ บีช รีสอร์ท พัทยา มากขึ้น ด้วยมองว่าเป็นธีมโฮเทลที่เหมือนหลุดไปโลกอีกใบ ประกอบกับทางรัฐบาลได้ฟื้นความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยกับซาอุดีฯ เมื่อต้นปี 2565 นับเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้โรงแรมแห่งนี้ได้ลูกค้าชาวซาอุดีฯ มากขึ้น

ปัจจุบันโรงแรมแห่งนี้มีสัดส่วนลูกค้าตลาดในประเทศ (รวมคนไทย และเอ็กซ์แพตชาวต่างชาติ) มากอันดับ 1 ราว 35-40% รองลงมาเป็นนักท่องเที่ยวรัสเซีย จีน เกาหลีใต้ และอินเดีย แม้โครงสร้างลูกค้า 5 อันดับแรกจะคล้ายกับโรงแรมอื่นๆ ในพัทยา แต่โรงแรมนี้ได้ลูกค้าตะวันตกทั้งยุโรป และสหรัฐมากกว่า โดยเฉพาะช่วงไฮซีซันนี้ ด้วยจุดขายกิจกรรมเอาต์ดอร์  ทำให้ลูกค้ายุโรปชอบมาก และกลับมาพักซ้ำ

นอกเหนือจากการดึงนักท่องเที่ยวกลุ่มเลเชอร์หรือพักผ่อนทั่วไปแล้ว โรงแรมนี้ยังมุ่งขยายตลาดเบลเชอร์ (Bleisure) ผสมผสานการทำธุรกิจ และพักผ่อนไว้ในทริปเดียว ได้ลูกค้าหลายบริษัทมาจัดทีมบิลดิ้ง กิจกรรมไมซ์ (MICE : การประชุม เดินทางเพื่อเป็นรางวัล สัมมนา และแสดงสินค้า) จากจุดเด่นของโรงแรมที่มีพื้นที่อินดอร์ และเอาต์ดอร์รองรับการจัดกิจกรรมหลากหลาย เช่น ห้องคอนเวนชัน รองรับงานเลี้ยงค็อกเทล 1,000 คน และจัดประชุมได้สูงสุด 800 คน

 

ดันธีม “มิราจ” ขยายแห่งที่ 4 ใน “มัลดีฟส์”

นางสาวจุไรรัตน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า เครือเซ็นทาราได้ขยายธีมโฮเทล “มิราจ” ไปยังดูไบ เวียดนาม และล่าสุดแห่งที่ 4 ในมัลดีฟส์ ที่เพิ่งเปิดให้บริการโรงแรม เซ็นทารา มิราจ ลากูน มัลดีฟส์ เมื่อปลายเดือนพ.ย. 2567 จะช่วยให้มัลดีฟส์ได้ลูกค้ากลุ่มครอบครัวมากขึ้น จากปัจจุบันที่นักท่องเที่ยวมองว่ามัลดีฟส์เป็นเดสติเนชันสำหรับคู่รักฮันนีมูน

“โจทย์ของเราคือ ทำอย่างไรให้มัลดีฟส์ ไม่ใช่แค่เดสติเนชันรองรับตลาดคู่รักฮันนีมูนเท่านั้น แต่สามารถขยายสู่กลุ่มครอบครัวได้ด้วย เราจึงนำธีมมิราจไปสร้างรีสอร์ต นับเป็นธีมรีสอร์ตแห่งแรกในมัลดีฟส์ ด้วย ที่ผ่านมารีสอร์ตบางแห่งอาจมีเครื่องเล่น แต่ถ้าพูดถึงมิราจ คนรู้เลยว่านี่คือ ธีมรีสอร์ต”

นอกจากนี้ เตรียมขยายตลาดแบรนด์โรงแรมระดับอัลตร้าลักชัวรี 6 ดาว “เซ็นทารา รีเซิร์ฟ” เปิดให้บริการแห่งแรกบนเกาะสมุยเมื่อปลายปี 2564 รุกจับนักท่องเที่ยวกลุ่มมีศักยภาพใช้จ่ายสูง โดยมีแผนเปิดแบรนด์แห่งที่ 2 ในกระบี่ ด้วยการรีแบรนด์จากโรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ บีช รีสอร์ท แอนด์ วิลล่า กระบี่ และขยายแบรนด์ เซ็นทารา รีเซิร์ฟ ไปยังเดสติเนชันอื่นๆ เช่น ภูเก็ต อีกด้วย

จุไรรัตน์ มงคลวงศ์สิริ

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์