‘MI GROUP’ ยกปี 68 สื่อมองปัจจัยบวก เกราะป้องกันธุรกิจแพ้ตั้งแต่หน้าประตู!

ธุรกิจจับยามสามตาด "ปัจจัยลบ" ได้ เพื่อรับมือความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น แต่การมองบวก เป็นพลังเสริมเกราะป้องกันธุรกิจ ไม่ให้แพ้ตั้งแต่หน้าประตู มุมมองเอเยนซีสื่อโฆษณา ที่คาดว่าปี 2568 ยังมีโอกาสบนความท้าทาย
ภาพใหญ่โลกธุรกิจ ล้วนรายล้อมไปด้วยสารพัดปัจจัยทั้งเชิงบวกและลบ แน่นอนว่าการมองบวกสะท้อนถึง “โอกาส” ที่จะช่วยผลักดันการเติบโต ขณะที่ “ปัจจัยลบ” อุปสรรคต่างๆที่ท้าทาย เพื่อให้ผู้ประกอบการเตรียมรับมือได้อย่างเหมาะสม
หลายปีที่ผ่านมา ภูมิทัศน์สื่อ มี 2 ขั้ว ขับเคลื่อนตลาดคือ “สื่อดั้งเดิม” หรือ Traditional Media ที่เผชิญพายุดิสรัปชั่นระลอกแล้วระลอกเล่า โดยเฉพาะสื่อทีวี สิ่งพิมพ์ ส่วน “สื่อใหม่”(New Media) แพลตฟอร์มดิจิทัลต่างๆ โตวันโตคืน และลูกค้าแบรนด์เล็กใหญ่ ยังเทเงินไปใช้ทั้งโฆษณา สื่อสารทางการตลาด เพื่อกระตุ้น “ยอดขาย”
ฉากทัศน์ธุรกิจสื่อโฆษณาและการสื่อสารทางการตลาดปี 2568 ยังมีหวัง โดย ภวัต เรืองเดชวรชัย ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มีเดียอินเทลลิเจนซ์กรุ๊ป จำกัด หรือ MI GROUP ให้มุมมองว่า ปีนี้อุตสาหกรรมสื่อโฆษณาตลอดจนและการสื่อสารการตลาด ควรมองปัจจัยบวกเข้าไว้ เพื่อเป็นเกราะคุ้มกันให้ภาคธุรกิจ ซึ่งหากวิเคราะห์สถานการณ์จะพบแรงส่งที่หนุนการเติบโตอยู่ โดยเฉพาะบทบาทของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์หรือเอไอ ที่ถูกพัฒนาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงกลายเป็นเหตุผลให้ทุนใหญ่เข้ามาปักหมุด ขยายฐานการลงทุนในประเทศไทย เพื่อสร้าง Data Center และ Cloud Service ก่อให้เกิดการจ้างงาน สร้างรายได้
นอกจากนี้ การท่องเที่ยว ยังเป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจไทย ซึ่งปี 2568 ประเมินตัวเลขนักท่องเที่ยวมาไทยแตะ 40 ล้านคน เติบโต 13% การที่ไทยมุ่งสู่ศูนย์กลางสุขภาพระดับโลก นโยบายการขับเคลื่อนซอฟต์พาวเวอร์ของไทย หนึ่งในแรงส่งที่ดี คือ ซีรีส์วาย(ชาย-ชาย) ยูริ(หญิง-หญิง) การสร้างสรรค์คอนเทนต์ที่ดึงกระแสจากผู้ชมได้ รวมถึงการปลุกปั้น T-Pop ให้อุตสาหกรรมบันเทิงเติบโต ตลอดจนอาหารไทยที่โดด่งดังระดับโลก เป็นต้น
ส่วนการสร้างอิทธพลของชาติมหาอำนาจ ก่อหวอดภูมิรัฐศาสตร์โลก “สหรัฐ-จีน” เชื่อว่าไทยและอาเซียนจะได้รับอานิสงส์ เนื้อหอมในการดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติมากขึ้น
ขณะที่รัฐบาลไทยยังมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจเชิงรุก ไม่ว่าจะเป็นการเดินหน้า 10 นโยบายเร่งด่วน 8 นโยบายหลักระยะกลางและระยะยาว ซึ่งภาครัฐเอง เป็นอีกหน่วยงานสำคัญในการขับเคลื่อนการใช้งบสื่อสารการตลาดหรือประชาสัมพันธ์นโยบาย โครงการต่างๆ
“อยากให้มองปัจจัยบวกเข้าไว้ ไม่เช่นนั้นอุตสาหกรรมสื่อโฆษณาและการสื่อสารทางการตลาดอาจแพ้ตั้งแต่หน้าประตู”
ทั้งนี้ หากประเมินเม็ดเงินอุตสาหกรรมสื่อโฆษณาและสื่อสารทางการตลาดปี 2568 มีมูลค่า 92,048 เติบโต 4.5% จากปี 2567 เติบโต 3.8% โดยสื่อทีวีดิจิทัลครองเม็ดเงิน 30,810 ล้านบาท ขณะที่สื่อดิจิทัลครองเม็ดเงิน 38,938 ล้านบาท ถือเป็นปีที่ 2 ที่เม็ดเงินแซง “ทีวีดิจิทัล” อย่างมีนัยยะ หากแยก “สื่อดิจิทัล” จะมีสัดส่วน 45% และสื่อออฟไลน์(ทุกประเภท) มีสัดส่วน 55%
อย่างไรก็ตาม ในการใช้งบโฆษณาและสื่อสารทงการตลาด การ “ผสมผสานสื่อ” ยังจำเป็น และ 3 สื่อหลักทรงอิทธิพลต่อผู้บริโภค แบรนด์เปย์ใช้งบ ประกอบด้วย สื่อดิจิทัล สื่อโทรทัศน์(ทีวีดิจิทัล) และ สื่อโฆษณานอกบ้าน
“ความสำคัญของสื่อแตกต่างกันต่อการสื่อสารการตลาด แต่ส่งเสริมกันได้ ซึ่งโจทย์ยากคือจะวางแผนส่วนผสมสื่ออย่างไรให้ประสิทธิภาพและส่งเสริมกันมากที่สุด”
เจาะหมวดหมู่กลุ่มธุรกิจและสินค้า “สายเปย์” ในปี 2568 ซึ่งคาดว่าจะ “ใช้งบเพิ่ม” มีดังนี้ 1.สินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องกับเกี่ยวกับการท่องเที่ยว และการพักผ่อนหย่อนใจ อาทิ โรงแรม สายการบิน แพลตฟอร์มและแอปพลิเคชันท่องเที่ยว 2.ประกันชีวิต ประกันสุขภาพ และโบรกเกอร์ประกัน 3.วิตามิน อาหารเสริม และยา 3.โฆษณาจากภาครัฐ 4.การขนส่ง เช่น บริการส่งอาหาร ส่งพัสดุ 5.อาหารและสินค้าเพื่อสัตว์เลี้ยง และ6.สถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร
“การใช้จ่ายงบของภาครัฐจะเน้นการประชาสัมพันธ์เป็นหลัก”
ส่วนกลุ่มสินค้าและบริการที่คาดว่าจะใช้งบโฆษณาและสื่อสารทางการตลาด “ลดลง” ได้แก่ 1.อี-มาร์เก็ตเพลส(E-Marketplace) เช่น ช้อปปี้(Shopee) และลาซาด้า(Lazada) โดยเฉพาะดับเบิ้ลเดย์ต่างๆที่ลดความร้อนแรงลง อีกทั้งธุรกิจมีกำไรแล้ว ไม่ต้องเทงบอู้ฟู่ สามารถนำเงินไปติดอาวุธการตลาดด้านอื่นเพื่อกระตุ้นยอดขายแทน เช่น การทำ Affialiate Marketing ฯ 2.เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ เช่น น้ำอัดลม กาแฟ 3.ร้านอาหาร 4..ของใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น สบู่ ยาสีฟัน และ4.ผลิตภัณฑ์เพื่อการเกษตร
“สินค้าอุปโภคบริโภค ทั้งเครื่องดื่มอัดลม กาแฟ ร้านอาหาร ตลอดสินค้าจำเป็นอย่างสบู่ ยาสีฟัน ฯ จะมีการนำงบไปทำโปรโมชั่น เพื่อกระตุ้นยอดขายมากกว่าการนำเงินไปลงกับโฆษณา”
มองแง่ดี เป็นพลังบวกให้ภาคธุรกิจ ทว่า ปฏิเสธความท้าทายปี 2568 ยังมีอยู่ “ภวัต” ยกภาวะเศรษฐกิจโลกยังคงเปราะบาง เพราะหลายประเทศที่เป็นคู่ค้าหลักของไทยยังอยู่ในภาวะซบเซา ยังไม่ฟื้นตัวเท่าที่ควร การบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนยังไม่ฟื้นตัว หรือฟื้นตัวไม่เต็มที่ “สินค้าจากจีน” ยังทะลักเข้าไทยอย่างต่อเนื่อง ส่งผลต่อผู้ประกอบการไทยในการแข่งขัน รวมถึง “เอสเอ็มอี” ไทย ที่มีความอ่อนแอ ขาดความรู้ ความเชี่ยวชาญในทักษะเพื่อการแข่งขันในโลกยุคใหม่ ตลอดจนข้อจำกัดในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน โดยภาพรวมแม้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเริ่มมีผล แต่ยังต้องใช้เวลาในการสร้างความเชื่อมั่นและเห็น