‘บิ๊กซี’ ยกปี 2568 ‘สุดท้าทาย’ ทุ่ม4-5พันล้าน ลุยสยายปีกไทย-ตปท.

สมรภูมิค้าปลีกไทยปี 2568 มูลค่ากว่า 4 ล้านล้านบาท เต็มไปด้วยความท้าทายจากกำลังซื้อในตลาดล่างที่อ่อนแรง และภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ผู้ประกอบการค้าปลีกต้องตั้งรับปัจจัยความไม่แน่นอนต่างๆ แม้จะมีการลงทุนต่อเนื่องแต่ต้องรอบคอบมากขึ้น
อัศวิน เตชะเจริญกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ภาพรวมค้าปลีกไทยช่วงครึ่งปีแรก 2568 มีความท้าทายในหลายด้าน โดยเฉพาะเศรษฐกิจไทยขยายตัวแบบไม่หวือหวา กำลังซื้อยังอยู่ในภาวะชะลอตัว โดยเฉพาะตลาดล่าง! รวมถึงต้องติดตามปัจจัยภายนอกกับนโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐ "ทรัมป์ 2.0” จะมีผลต่อเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกอย่างไร ขณะที่ปัจจัยบวกขณะนี้มีเพียงนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ช้อปลดหย่อนภาษี Easy E-Receipt 2.0
“ประเมินกำลังซื้อหลังมีนโยบายช้อปลดหย่อนภาษี Easy E-Receipt 2.0 สูงสุด 50,000 บาทนั้น มีผลกระตุ้นตลาดพอสมควร สะท้อนได้จากมีลูกค้าเข้ามาใช้จ่ายสินค้าต่างๆ หลากหลายกลุ่ม ทำให้ภาพรวมผลประกอบการขยายตัวในระดับสองหลัก รวมถึงได้รับแรงหนุนจากช่วงต้นปีที่มีบรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลองปีใหม่ ภาคเอกชนมีการแจกจ่ายโบนัสแก่พนักงาน และแรงหนุนจากเทศกาลตรุษจีน”
สำหรับ “บิ๊กซี” ค้าปลีกที่อยู่คู่ตลาดประเทศไทยมาเป็นเวลานานผ่านวิกฤติมาหลายครั้ง เมื่อประเมินปี 2568 ไม่ได้เป็นปีที่แย่ที่สุด ตามแผนของบิ๊กซี เตรียมการรับมือในช่วงที่ลูกค้ากำลังรัดเข็มขัดด้วยการมุ่งทำโปรโมชันกระตุ้นการซื้อ และอยากให้ภาครัฐออกมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายต่อเนื่อง
“เศรษฐกิจไทยปี 2568 มีความท้าทายอย่างมาก กำลังซื้อกลุ่มระดับล่างยังไม่ดี นักท่องเที่ยวที่กลับมายังไม่เท่าเดิม การทำธุรกิจแบบเดิมๆ ไม่สามารถทำได้อีกต่อไปแล้ว”
โดยปี 2568 เตรียมงบลงทุน 4,000-5,000 ล้านบาท ในการขยายธุรกิจห้างค้าปลีกบิ๊กซี วางแผนเปิดสาขาขนาดใหญ่ ไฮเปอร์มาร์เก็ต 3-5 สาขา และสาขาขนาดเล็ก หรือ บิ๊กซี มินิ ประมาณ 250 สาขา รวมถึง บิ๊กซี บางกอกมาร์เช่ (BIG C Bangkok Marche) โมเดลใหม่ จาก บิ๊กซี ฟู้ดเพลส (Big C foodplace) เน้นสินค้ากลุ่มอาหารพร้อมทานและเครื่องดื่มแบบครบวงจรแบบพรีเมียมมากขึ้น เป็นเดสติเนชันของกลุ่มลูกค้าทั้งชาวไทยและต่างชาติ เปิดบริการในโครงการมิกซ์ยูส วัน แบงค็อก (One Bangkok)
พร้อมกันนี้ เตรียมรีโนเวตสาขาเดิมให้สอดรับเทรนด์ตลาดและพฤติกรรมของลูกค้า เช่น “บิ๊กซี แจ้งวัฒนะ” ซึ่งเปิดมานานแล้ว กำลังปรับปรุงภายใต้คอนเซปต์ใหม่ กำหนดเปิดโฉมใหม่อย่างเป็นทางการในปี 2569 อีกทั้งมีการพิจารณา “ปิดสาขา” ในบางทำเลที่หมดสัญญาการเช่าพื้นที่
ขณะเดียวกัน มองโอกาสการเติบโตสู่ตลาดต่างประเทศเน้นขยายเพิ่มในซีแอลเอ็มวี (กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม) โดยเฉพาะประเทศเวียดนามที่มีทิศทางขยายตัวที่ดีภายใต้แบรนด์ “เอ็มเอ็ม” กำลังพิจารณาเปิดสาขาใหม่เพิ่ม
ภาพรวมในปัจจุบัน “บิ๊กซี” มีสาขาขนาดใหญ่และกลางราว 207 สาขา ได้แก่ บิ๊กซี ไฮเปอร์มาร์เก็ต 156 สาขา บิ๊กซี ฟู้ดเพลส โมเดลซูเปอร์มาร์เก็ต เน้นตลาดกลางและบน 16 สาขา บิ๊กซี มาร์เก็ต เป็นไฮเปอร์มาร์เก็ตขนาดย่อม 35 สาขา ส่วนสาขาขนาดเล็ก บิ๊กซี มินิ ร้านสะดวกซื้อและมีการขยายในแบบแฟรนไชส์ มีจำนวน 1,602 สาขา
สำหรับตลาดต่างประเทศมี 36 สาขา ทั้งในลาว กัมพูชา ฮ่องกง และเวียดนาม โดย “ลาว” มีไฮเปอร์มาร์เก็ต 1 สาขา กัมพูชา ไฮเปอร์มาร์เก็ต 1 สาขา ฟู้ดเพลส 2 สาขา และ บิ๊กซี มินิ 18 สาขา ร้านสะดวกซื้อในฮ่องกง รวม 14 สาขา และในเวียดนามกับ “เอ็มเอ็ม”
บิ๊กซี ยังให้น้ำหนักกับการขยายช่องทางทำตลาดผ่าน "อีคอมเมิร์ซ" เป็นช่องทางขายที่กำลังมาแรง จากพฤติกรรมลูกค้าสนใจเลือกซื้อสินค้าออนไลน์มากขึ้น ปัจจุบันมีช่องทางออนไลน์ทั้งผ่านเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน รวมถึงการปรับให้สโตร์ต่างๆ ขยายบริการออนไลน์ให้ครอบคลุมกับทำเลของกลุ่มลูกค้า ซึ่งที่ผ่านมายอดขายผ่านช่องทางออนไลน์ขยายตัว 40-50%
“ท่ามกลางหลายปัจจัยที่ต้องจับตามอง เศรษฐกิจโลก สหรัฐ เงินเฟ้อ อาจต้องปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายรอบใหม่ และอาจทำให้เงินทุนจากต่างประเทศไหลกลับไปสหรัฐ มีผลต่อค่าเงินบาท และมีผลต่อเนื่องกับไทยในระยะต่อไป ซึ่งบริษัทต้องดูแลต้นทุน บริหารจัดการต่างๆ ให้ดีที่สุด พร้อมมองหาโมเดลธุรกิจใหม่ๆ ผลักดันผลประกอบการโดยรวมขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง"