ททท. เบ่งยอดทัวริสต์ 40 ล้านคนปี 2568 เข็นเป้ารายได้รวมโต 17% แตะ 3 ล้านล้านบาท

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ตั้งเป้าหมายสร้าง 'รายได้รวมการท่องเที่ยว' ปี 2568 ท่ามกลางปัจจัยท้าทาย หวังแตะตัวเลข '3 ล้านล้านบาท' เท่ากับว่าต้องเข็นการเติบโตให้ได้ราว 17% เมื่อเทียบกับรายได้รวม 2.57 ล้านล้านบาท
ฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการ ททท. เปิดเผยว่า ททท.ตั้งเป้าหมายรายได้รวมการท่องเที่ยวในปีนี้ที่ "3 ล้านล้านบาท" แบ่งเป็นรายได้ตลาดต่างประเทศ 2 ล้านล้านบาท จากเป้าหมายในกรณีดีที่สุด (Best Case) มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทย 38 ล้านคน แต่ ททท.จะเบ่งยอดให้ได้ 39-40 ล้านคนตามเป้าหมายเชิงนโยบายของรัฐบาล เพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 10% จากฐานเดินทางจริง 35.54 ล้านคนเมื่อปีที่แล้ว
โดย “5 อันดับแรก” ของตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีแนวโน้มเดินทางเข้าไทยสูงสุดในปีนี้ อันดับ 1 จีน คาดการณ์ไว้ที่จำนวน 8 ล้านคน อันดับ 2 มาเลเซีย 5.5 ล้านคน อันดับ 3 อินเดีย 2.5 ล้านคน จากปัจจัยการเติบโตของปริมาณเที่ยวบิน อันดับ 4 เกาหลีใต้ 2 ล้านคน และอันดับ 5 รัสเซีย ประมาณ 1.92 ล้านคน
ส่วนรายได้ตลาดในประเทศปีนี้ ตั้งเป้าไว้ที่ 1 ล้านล้านบาท จากนักท่องเที่ยวคนไทย 200-220 ล้านคน-ครั้ง
“ททท. วางเป้าหมายสร้างรายได้รวมการท่องเที่ยวในปีนี้ที่ 3 ล้านล้านบาท เท่ากับว่าจะต้องสร้างการเติบโตให้ได้ถึง 17% เมื่อเทียบกับรายได้รวมการท่องเที่ยวของปีที่แล้ว ซึ่งปิดที่ 2.57 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.32% เทียบกับปี 2566 ถือเป็นอัตราการเติบโตที่สูงกว่าเป้าหมายก่อนหน้านี้ที่ตั้งเป้าเติบโต 7.5% เทียบกับฐานรายได้จริงของปีที่แล้ว”
ท่ามกลาง “ปัจจัยท้าทาย” เรื่องการแข่งขันสูงจากประเทศคู่แข่งต่างๆ อย่างในภูมิภาคเอเชียด้วยกัน อาทิ “ญี่ปุ่น” มีนักท่องเที่ยวต่างชาติตลอดปีที่แล้วจำนวน 36.86 ล้านคน ทุบสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ จากอานิสงส์ “เงินเยนอ่อนค่า” อย่างไรก็ตาม มองว่าถ้าวัดกันปอนด์ต่อปอนด์ ไม่มีปัจจัยเรื่องค่าเงินเข้ามาเกี่ยว ประเทศไทยจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติมาเยือนมากกว่าญี่ปุ่น และสามารถรั้งอันดับ 1 ในเอเชียไว้ได้
ส่วนปัจจัยน่ากังวลคือปัจจัยที่ไม่สามารถป้องกันหรือควบคุมได้ เช่น ภัยพิบัติ สภาพอากาศ โรคระบาด ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์จากความขัดแย้งระหว่างประเทศ ซึ่งต้องคอยบริหารความเสี่ยงในแต่ละตลาดเพื่อให้ได้จำนวนนักท่องเที่ยวและรายได้ไปถึงเป้าหมายในปีนี้
พร้อมกระจายความหลากหลายของตลาดมากขึ้น เช่น ขยายฐานนักท่องเที่ยว “อาเซียน” ซึ่งปัจจุบันครองสัดส่วน 30% ของนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมด โดยเฉพาะตลาดอินโดนีเซียที่มีขนาดประชากรมากกว่า 277 ล้านคน ต้องดึงนักท่องเที่ยวอินโดนีเซียเข้าไทยให้ได้มากกว่าเดิม รวมถึงตลาดมาเลเซียที่ต้องรุกต่อเนื่อง ทั้งการเดินทางด้วยเครื่องบินและทางบกข้ามด่านชายแดน
ฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์
ทั้งนี้ จากการประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียน ครั้งที่ 28 ณ เมืองยะโฮร์บาห์รู มาเลเซีย เมื่อวันที่ 19 ม.ค. ได้มีการแสดงวิสัยทัศน์และจุดยืนร่วมกันในการผลักดันให้ “อาเซียน” เป็น “ศูนย์กลางการท่องเที่ยวของโลก” อย่างต่อเนื่อง ภายใต้แผนยุทธศาสตร์ด้านการท่องเที่ยวอาเซียน ปี 2559-2568
โดย สรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชื่อมโยงภูมิภาคอาเซียน ผ่านวิสัยทัศน์ “IGNITE THAILAND” มุ่งเน้นการพัฒนาประเทศไทยให้กลายเป็นศูนย์กลางเมืองแห่งอุตสาหกรรมระดับโลก ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยสู่อนาคตที่ยั่งยืน ครอบคลุม “การท่องเที่ยว” ซึ่งเป็นประเด็นหลักที่ไทยให้ความสำคัญ ด้วยการออกนโยบายการอำนวยความสะดวกในการเดินทางข้ามพรมแดน การส่งเสริมมาตรการการรักษาความปลอดภัยให้แก่นักท่องเที่ยว การส่งเสริมการท่องเที่ยวในเมืองรองและเมืองน่าเที่ยว การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ครอบคลุมทั้งทางบก ทางน้ำ ทางอากาศ และทางราง และการให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการท่องเที่ยวที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ ให้เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น รวมถึงการให้ความสำคัญกับการนำเสนอการท่องเที่ยวที่เป็นเอกลักษณ์เพื่อสร้างความหลากหลายให้กับจุดหมายปลายทางในอาเซียน
ฐาปนีย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับการเข้าร่วมงาน “ไอทีบี เบอร์ลิน 2025” ซึ่งเป็นเทรดโชว์ส่งเสริมการขายทางการท่องเที่ยวที่ใหญ่ที่สุดในโลก จัดระหว่างวันที่ 4-6 มี.ค. ณ กรุงเบอร์ลิน เยอรมนี ททท.ได้จัดโครงสร้างใหม่ เข้าบริหารจัดการพื้นที่คูหาของประเทศไทยทั้งหมด เพื่อให้นำเสนอธีมไปในทิศทางเดียวกัน และสอดรับกับการโปรโมต “ปีแห่งการท่องเที่ยวและกีฬา 2568” หรือ Amazing Thailand Grand Tourism and Sport Year 2025
โดย ททท.ได้สำรองพื้นที่คูหาประเทศไทยขนาด 1,820 ตารางเมตร ภายในฮอลล์ 26B แบ่งพื้นที่เป็น 5 ประเภท ได้แก่ 1.พื้นที่เจรจาธุรกิจ ระหว่างผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวไทยในฐานะผู้ซื้อและผู้ประกอบการท่องเที่ยวจากต่างประเทศในฐานะผู้ขาย สามารถรองรับผู้ประกอบการภาคเอกชนไทยเข้าร่วมจำนวน 160 ราย ปัจจุบันมีผู้สมัครเข้ามาแล้ว 135 ราย 2.พื้นที่จังหวัดและพันธมิตรต่างๆ 3.พื้นที่เสน่ห์ไทย (Soft Power) 4.พื้นที่เมืองน่าเที่ยว ซึ่งจะมีการจัดพื้นที่ “โซนโอกาส” (Opportunity) ตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร และ สรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวฯ ซึ่งต้องการให้จัดสรรพื้นที่แก่ผู้ประกอบการท่องเที่ยวจากเมืองรอง 12-20 รายที่ไม่เคยมาร่วมงานไอทีบี เบอร์ลิน มาก่อน และ 5.พื้นที่การท่องเที่ยวเชิงกีฬา
“ททท.คาดว่าจากการจัดโครงสร้างใหม่ในการบริหารพื้นที่พาวิลเลียนของไทยในงานไอทีบี เบอร์ลิน ปีนี้ ทำให้มีพื้นที่ออกบูธมากขึ้นเป็นเกือบ 2,000 ตารางเมตร จากปีก่อนหน้า ททท.บริหารพื้นที่ 500 ตารางเมตร จึงคาดว่าในปีนี้จะมีเงินสะพัดของภาคท่องเที่ยวไทยภายในงานนี้เติบโต 2 เท่า เป็น 5,000-6,000 ล้านบาท เพิ่มจาก 3,000 ล้านบาทในงานปีที่แล้ว”