ตีกรอบ ‘สถานบันเทิงครบวงจร’ ต้องชัด! เอกชนแนะรัฐคุมการพัฒนาให้ถูกทิศ

ตีกรอบ ‘สถานบันเทิงครบวงจร’ ต้องชัด!  เอกชนแนะรัฐคุมการพัฒนาให้ถูกทิศ

หลังที่ประชุม ครม. ไฟเขียวอนุมัติในหลักการร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร หรือ “เอนเทอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์” ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกานำไปปรับปรุงรายละเอียด ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาภายใน 2 เดือนนับจากนี้

ทั้งนี้ รัฐบาลคาดหวังว่าเมื่อแจ้งเกิดเอนเทอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์สำเร็จ จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของประเทศไทยได้ สามารถดึงดูดการลงทุนสร้าง “แหล่งท่องเที่ยวแบบมนุษย์สร้าง” (Man-made Destination) แห่งใหม่ในประเทศไทย มูลค่าไม่ต่ำกว่า 1 แสนล้านบาท หนุนเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติได้ 5-10% ต่อปี กระตุ้นการใช้จ่ายช่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยวหรือโลว์ซีซันเพิ่มขึ้น 13% ทำให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวอย่างสม่ำเสมอต่อเนื่องทั้งปี และเพิ่มการใช้จ่ายเป็น 66,043 บาท/คน/ทริป จาก 44,000 บาท/คน/ทริป

ภาคเอกชนท่องเที่ยวต่างมีทัศนะต่อเรื่องนี้หลากหลายมุม เริ่มจาก เทียนประสิทธิ์ ไชยภัทรานันท์ นายกสมาคมโรงแรมไทย (ทีเอชเอ) กล่าวกับ “กรุงเทพธุรกิจ”​ ว่า ส่วนตัวมองว่าในเชิงหลักการ การพัฒนาให้มีเอนเทอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ เป็นเรื่องดี เพราะช่วยกระตุ้นการลงทุนและเศรษฐกิจในประเทศ แต่รัฐบาลต้องตอบวัตถุประสงค์ของการผลักดันเอนเทอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ให้ชัดด้วย ว่าอยากลดปัญหาพนันออนไลน์ หรืออยากเพิ่มรายได้และการลงทุนด้านการท่องเที่ยว เพราะถ้าอยากลดปัญหาพนันออนไลน์ รัฐบาลสามารถเพิ่มความเข้มข้นของการบังคับใช้กฎหมายได้

ขณะเดียวกัน ต้องชัดเจนว่าจะสนับสนุนให้ภาคเอกชนไปลงทุนในพื้นที่หรือโลเกชันไหน อยากให้ตีกรอบเชิงพื้นที่ชัดกว่านี้ เช่น หากต้องการผลักดันให้ไปลงทุนในพื้นที่เป้าหมายใหม่ ๆ ทางเศรษฐกิจอย่างภาคอีสาน รัฐบาลสามารถสนับสนุนด้านการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและระบบขนส่งมวลชน เพื่อรองรับการเดินทางของนักท่องเที่ยวได้

ขอความชัดเจนรูปแบบให้บริการ

ทั้งนี้จากข้อมูลที่รัฐบาลแถลงล่าสุด ระบุว่า “สถานบันเทิงครบวงจร (เอนเทอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์) เป็นศูนย์รวมสำหรับการพักผ่อนและความบันเทิง ประกอบด้วยบริการหลากหลายรูปแบบเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวและกิจกรรมต่างๆ สำหรับครอบครัว ได้แก่ ห้างสรรพสินค้า, โรงแรม (ระดับ 6 ดาว), สวนสนุก, สนามกีฬา, ร้านอาหาร, ไนต์คลับ ผับ หรือบาร์, สถานที่จัดงานประชุม, พื้นที่ส่งเสริมวัฒนธรรมไทยและสินค้าโอท็อป (OTOP), สระว่ายน้ำ และสวนน้ำ, ยอชต์และครูซซิ่งคลับ, กาสิโน และกิจการอื่นๆ” นั้น มองว่าอยากให้รัฐบาลระบุชัดเจนกว่านี้ ว่าแต่ละบริการเป็น “ภาคบังคับ” ที่เอกชนต้องลงทุนทั้งหมดครบทุกบริการหรือไม่ หรือเอกชนสามารถพิจารณาการลงทุนให้เหมาะสมกับแต่ละโลเกชันได้

อย่างบริการ “โรงแรม” ที่มีการระบุว่าเป็น “ระดับ 6 ดาว” นั้น ถ้าตามมาตรฐานของโรงแรมจริง ๆ มีแค่ 5 ดาวเท่านั้น แม้ในเชิงการตลาดตอนนี้มีพูดถึงแบรนด์หรูระดับ 6 ดาวไปแล้วก็ตาม แต่ถ้านักลงทุนด้านเอนเทอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์และกาสิโนระดับโลกสนใจเข้ามาลงทุนในไทย เขาจะมาพร้อมโรงแรมระดับไม่ต่ำกว่า 5 ดาวอยู่แล้ว ขณะเดียวกันถ้าต้องการรองรับนักท่องเที่ยวและกิจกรรมต่างๆ สำหรับ “ครอบครัว” จริงๆ มองว่าไม่ควรตีกรอบระดับดาว เพราะนักท่องเที่ยวกลุ่มครอบครัวในปัจจุบันนิยมพำนักโรงแรมระดับ 4 ดาวจำนวนมาก

“ผมมองว่า เอนเทอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ คือเมืองเมืองหนึ่ง เหมือนเกาะมาเก๊า ที่มีโรงแรมหลายระดับให้เลือก จะเป็นโรงแรมระดับกี่ดาวก็ได้ หรืออย่างเมืองลาสเวกัส สหรัฐ ซึ่งมีนักท่องเที่ยวนิยมไปดูโชว์ การแสดง ดูกีฬา ก็มีระดับโรงแรมหลากหลาย ระดับ 2 ดาวยังมีเลย” นายกทีเอชเอกล่าว

 

เชื่อไทยมุ่งเดสติเนชั่นท่องเที่ยว

ด้าน บิล บาร์เน็ต กรรมการผู้จัดการ ซีไนน์​ โฮเทลเวิร์คส์ (C9 Hotelworks) ให้ความเห็นบนเวทีงานแถลงข่าว “ไทยแลนด์ ทัวริสซึ่ม ฟอรัม 2025” วานนี้ (13 ม.ค.) ว่า หากมองโมเดลการลงทุนและพัฒนาโครงการ “มารีน่า เบย์ แซนด์ส” (Marina Bay Sands) ใน “สิงคโปร์” เมื่อพิจารณาว่าภาพลักษณ์ของที่นี่คืออะไร เป็นบ่อนกาสิโน หรือ เดสติเนชันด้านการท่องเที่ยว ทุกคนตอบตรงกันว่าที่นี่คือ “เดสติเนชัน”

“ผมมองว่าประเทศไทยเองก็คงมีทิศทางการพัฒนาเอนเทอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ไปในทิศทางเดียวกับสิงคโปร์ ที่ไม่ได้มุ่งลงทุนหรือพัฒนาให้เป็นบ่อนกาสิโน เพื่อให้คนเข้าไปติดการพนัน แต่มุ่งพัฒนาสู่การเป็นเดสติเนชันด้านการท่องเที่ยว และสามารถต่อยอดไปยังตลาดไมซ์ (MICE : การประชุม เดินทางเพื่อเป็นรางวัล สัมมนา และงานแสดงสินค้า) ช่วยสร้างโอกาสให้กับประเทศไทยในการดึงดูดนักเดินทางได้อีกด้วย”

ศิรเดช โทณวณิก รองประธานฝ่ายพัฒนาธุรกิจโรงแรม ดุสิต โฮเต็ล แอนด์ รีสอร์ท เสริมว่า สนับสนุนการพัฒนาเอนเทอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ และกาสิโนถูกกฎหมายเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจ แต่สิ่งสำคัญที่รัฐบาลต้องทำคือการควบคุมและกำกับดูแลโครงการนี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาตามมาในภายหลัง

ก่อนหน้านี้ พสุ ลิปตพัลลภ กรรมการบริหารกลุ่มบริษัท พราว เคยให้สัมภาษณ์ว่า พราวกรุ๊ปสนใจร่วมลงทุนพัฒนาเอนเทอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ที่มีกาสิโนถูกกฎหมายเป็นส่วนหนึ่ง แต่เนื่องจากพราวกรุ๊ปไม่เคยทำธุรกิจเกมมิ่ง (Gaming) มาก่อน และต้องพัฒนาบนพื้นที่ค่อนข้างใหญ่หลักหมื่นหรือหลักแสนตารางเมตร และมีค่าไลเซนส์หลักพันล้านบาท 

จึงมองว่าไม่สามารถมีนักลงทุนรายเดียวที่ทำได้หมดทุกอย่าง ทำให้พราวกรุ๊ปสนใจจับมือกับพันธมิตร เข้าร่วมลงทุนในส่วนที่บริษัทถนัด เช่น โรงแรมหรือรีสอร์ตระดับลักชัวรี และสันทนาการอย่างสวนน้ำ ด้วยพอร์ตโฟลิโอของพราวกรุ๊ปได้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์แบบผสมผสาน (มิกซ์ยูส) มาบ้างแล้ว อาทิ ในหัวหิน ซึ่งมีทั้งสวนน้ำ โรงแรม และคอนโดมิเนียม โดยโลเกชันที่พราวกรุ๊ปสนใจร่วมลงทุน น่าจะอยู่ในโซนใกล้ “ภูเก็ต” เพราะถ้ามาพัฒนาโครงการในกรุงเทพฯ ต้องแข่งกับรายอื่นๆ อีกมาก