สมูทอี พลิกโฉมใหญ่ดึง 'หลิงออม' สู่แบรนด์แอมฯ -ขยายคลินิกความงามครั้งแรก
ตลาดเวชสำอางไทยมูลค่า 1.5 หมื่นล้านบาท สั่นสะเทือน 'สมูทอี' แบรนด์ไทยเก่าแก่ ก่อต่อตั้งโดย เภสัชกร ดร.แสงสุข พิทยานุกุล วางหมากรุกตลาดในปี 2568 ยกเครื่องผลิตภัณฑ์ครั้งใหญ่รอบ 30 ปี ส่ง 'หลิง-ออม' สู่นิวเฟซ ออฟ สมูทอี วางแผนต่อยอดแบรนด์สู่การทำ คลินิกความงาม สาขาแรกปีนี้
บริษัท สยามเฮลท์กรุ๊ป จำกัด บริษัทไทย ที่มีเส้นทางก่อตั้งมาร่วม 30 ปีแล้ว โดย "เภสัชกร ดร.แสงสุข พิทยานุกุล" ได้พัฒนาผลิตภัณฑ์กลุ่มเวชสำอางแบรนด์แรกกับ "สมูทอี" จนเป็นที่รู้จักในตลาดไทยมาหลายสิบปี ก่อนขยายสู่ "เดนทิสเต้" ผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปาก สร้างแบรนด์เติบโตในตลาดภูมิภาคเอเชียอย่างแข็งแกร่ง
แผนในปี 2568 ทำให้บริษัทวางแผนนำ สมูทอี ที่อยู่ในตลาดมาร่วม 30 ปี ถึงเวลาที่แบรนด์ต้องพลิกโฉมครั้งใหม่ในรอบ 30 ปี เพื่อขยายฐานและมีเป้าหมายสำคัญในการขยายส่วนแบ่งการตลาดในประเทศไทยและการส่งออกไปสู่ตลาดโลก ที่มีต้นแบบความสำเร็จอย่างแบรนด์ "เดนทิสเต้"
นายธนชัย ชัยกิตติวนิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สมูทอี บริษัท สยามเฮลท์ กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า ภาพรวมตลาดเวชสำอางในประเทศไทยมีมูลค่ากว่า 1.5 หมื่นล้านบาท มีการขยายตัวประมาณ 15% ในปีก่อน โดยตลาดแข่งขันด้วยการมุ่งนำเสนอนวัตกรรมผลิตภัณฑ์และแข่งขันรุนแรง รวมถึงส่วนแบ่งการตลาด 80% มาจากแบรนด์ต่างประเทศ และอีก 20% มาจากแบรนด์ไทย ซึ่งราคาแบรนด์จากต่างประเทศ แตกต่างจากแบรนด์ไทยประมาณ 4-5 เท่า
ส่วนภาพรวมตลาดดูแลผิวและความงามในตลาดแมส มีมูลค่ากว่า 3 หมื่นล้านบาท โดยตลาดมีการแข่งขันรุนแรงในทุกน่านน้ำ แต่สมูทอี เป็นแบรนด์เวชสำอางไทยที่อยู่ในตลาดมาหลายสิบปี และไม่ได้เน้นเจาะตลาดแมส
แผนการรุกตลาดในปี 2568 ได้มีการปรับโฉมผลิตภัณฑ์และใช้งบการตลาดสูงถึง 200 ล้านบาท มากสุดในรอบ 4 ปี เพื่อมุ่งขยายตลาดและนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ได้ปรับโฉมใหม่ในกลุ่มผลิตภัณฑ์กันแดดและผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้า
พร้อมได้รุกขยายฐานไปสู่กลุ่มคนรุ่นใหม่ และกลุ่มเจนซี โดยได้ดึง 3 “หลิงหลิง ศิริลักษณ์ คอง” และ “ออม กรณ์นภัส เศรษฐรัตนพงศ์” สองนักแสดงสาวดาวรุ่ง ที่มีฐานแฟนคลับจำนวนมาก มาเป็น "นิวเฟซ ออฟ สมูทอี" หรือ แบรนด์แอมบาสเดอร์ ทั้งสองต่างมีภาพลักษณ์ที่ตรงกับผลิตภัณฑ์ โดย หลิงเป็นคนที่มีเสน่ห์และมั่นใจ ส่วนออม มีคาแรกเจอร์ ความอ่อนโยนและสนุกสนาน ซึ่งทั้งสองได้เข้ามาร่วมทำกิจกรรมกับแบรนด์ การออกสินค้าคอลเลคชั่นพิเศษให้แฟนๆ ได้สะสม ที่มีคอลเลคชันวาเลนไทน์ พร้อมทำภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่
ทั้งนี้ประเมินว่าจะเป็นการร่วมตอกย้าภาพลักษณ์ของแบรนด์ รวมถึงมีโอกาสต่อยอดสินค้าไปสู่การส่งออกไปในตลาดต่างประเทศได้ โดยในปี 2568 สนใจส่งออกไปในประเทศจีน ซึ่งปัจจุบันมีพาร์ทเนอร์ในตลาดจีนอยู่แล้ว ส่วนในปัจจุบันสมูทอีกมีการส่งออกไปทั้งตลาดเวียดนามและมาเลเซีย
อีกทั้งวางแผนทภาพรวมผลประกอบการในปี 2568 คาดว่าจะเติบโตในระดับสองหลัก ใกล้เคียง 20% หรือประมาณ 1,000 ล้านบาท ต่อเนื่องจากปีก่อนที่มีการเติบโตสองหลัก สร้างยอดขายประมาณ 900 ล้านบาท
พร้อมทำให้สมูทอี ครองส่วนแบ่งการตลาดมากขึ้น จากในปัจจุบัน ครองส่วนแบ่งการตลาดที่ 9.7% โดยแบรนด์มุ่งเป้าหมายสู่ผู้นำตลาดในระยะยาว พร้อมมุ่งสู่ภาพลักษณ์การเป็น เมดิคอล สกินแคร์ ไอคอน
ทางด้านเภสัชกรศุภาพิชญ์ พิทยานุกุล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด บริษัท สยามเฮลท์ กรุ๊ป จำกัด เสริมว่า เตรียมจัดทำ โมบาย คลินิค ในการออกไปให้คำแนะนำและการตรวจสอบสภาพผิวไปทั่วประเทศ พร้อมการทำโปรเจกต์ร่วมกับ แพทย์ผิวหนังในประเทศ จัดทำสู่ คลินิกความงาม สมูทอี โดยคาดว่าจะมีความชัดเจนจำนวน 1 สาขาแรกได้ภายในปี 2568 นี้
ทั้งนี้อยู่ระหว่างดำเนินการออกแบบและพัฒนารูปแบบสาขา คลินิกความงาม ให้ตรงกับความต้องการของกลุ่มลูกค้ามากที่สุด โดยบริษัทมีทีมนักวิจัย ร่วมพัฒนาสินค้าและคิดค้นนวัตกรรม จำนวนมากกว่า 100 คน
อย่างไรก็ตาม สินค้าใหม่ที่มีการพัฒนาและนำเสนอสู่ตลาดในไตรมาสแรกของปีนี้ได้แก่ สมูทอี ซัน แอสตาแซนธิน, สมูท อี นัน ไอออนนิก พีเอช ไฟว์ นิวเจน โฟมล้างหน้าสูตรไม่มีฟองใหม่ และ สมูทอี คลินิกคัล เซรั่ม โดยได้นำเสนอขั้นตอนในการดูแลผิวใน 3 สเต็ป ล้าง บำรุง และปกป้อง
ทั้งนี้ผลิตภัณฑ์สมูทอีทั้ง 3 กลุ่ม ต่างเป็นบรรจุภัณฑ์รักษ์โลก สามารถนำไปรีไซเคิลได้ 100% ร่วมตอกย้ำนโยบายด้านความยั่งยืนของสมูทอี โดยในปัจจุบัน สมูทอี มีสินค้าจำนวนกว่า 300 รายการ