‘ซีเจ’ เทงบเพิ่มสาขา-คลังสินค้า 4 พันล้าน ปรับโครงสร้าง ยกระดับเทค-เอไอ

‘ซีเจ’ เทงบเพิ่มสาขา-คลังสินค้า 4 พันล้าน ปรับโครงสร้าง ยกระดับเทค-เอไอ

ซีเจ เทงบลงทุน 4,000 ล้าน ขยายสาขาครอบคลุมพื้นที่ เน้นอีสาน ผุดคลังสินค้าแห่งใหม่รองรับ พร้อมปรับโครงสร้างองค์กร บุคลากร จับมือมหาวิทยาลัยชื่อดังสหรัฐ ยกระดับเทคโนโลยี เอไอ รับการแข่งขันเปลี่ยนในอนาคต มั่นใจยอดขาย รายได้ปีนี้ เติบโต 30%

สมรภูมิค้าปลีกไทย มูลค่า 4 ล้านล้านบาท ขับเคลื่อนด้วยกลุ่มทุนใหญ่หนึ่งในผู้เล่นรายสำคัญ  “เสถียร เสถียรธรรมะ” เจ้าพ่อคาราบาว กรุ๊ป ที่มีร้าน “ซีเจ" เป็นหัวหอกเปิดบริการมากว่า 10 ปี ด้วยกลยุทธ์ป่าล้อมเมืองจากต่างจังหวัดรุกสู่เมืองกรุง

นายวีรธรรม เสถียรธรรมะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีเจ มอร์ จำกัด ผู้บริหารร้านค้าปลีก ซีเจ มอร์ กล่าวว่า แผนธุรกิจปี 2568 บริษัทจะใช้งบลงทุนรวม 4,000 ล้านบาท สำหรับการเปิดสาขาใหม่ของ ซีเจ ประมาณ 300 สาขา ใช้งบลงทุนประมาณ 3,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นจำนวนใกล้เคียงกับปีก่อน รวมถึงใช้สร้างคลังสินค้าใหม่ประมาณ 1,000 ล้านบาท ในจังหวัดบุรีรัมย์ พื้นที่ 80,000 ตร.ม. ที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ อยู่ระหว่างการตกแต่ง นับเป็นคลังสินค้าแห่งที่ 5 ของบริษัท 

 

 

ทั้งนี้ปัจจุบัน ซีเจ มีสาขาประมาณ 1,500 สาขา แบ่งเป็น เป็นสาขาใน กรุงเทพฯ ประมาณ 500 สาขา และอีก 1,000 สาขา เป็นต่างจังหวัด 

สำหรับทำเลที่บริษัทสนใจรุกขยายสาขามากขึ้นในปีนี้ มองพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และจะใช้โมเดลร่วมมือกับพันธมิตรท้องถิ่น หรือ โลคอล พาร์ตเนอร์ รับซื้อสินค้าจากผู้ผลิตในพื้นที่มาจำหน่ายโดยตรง เช่น น้ำดื่ม จากเดิมเน้นการรับซื้อจากผู้ผลิตรายใหญ่และต้องส่งมาจาก ทำเลภาคกลาง ซึ่งมีต้นทุนในการขนส่ง ส่วนปีที่แล้ว บริษัทเน้นขยายไปในทำเลภาคใต้

 

"อีกการลงทุนใหญ่คือ การสร้างออฟฟิศใหม่ที่มีขนาดใหญ่ ในพื้นที่พระราม 3 หลายพันล้านบาท คาดว่าจะแล้วเสร็จในอีก 3 ปีข้างหน้า"

 

‘ซีเจ’ เทงบเพิ่มสาขา-คลังสินค้า 4 พันล้าน ปรับโครงสร้าง ยกระดับเทค-เอไอ

ปรับโครงสร้าง ยกระดับบุคลากร เอไอ 

ขณะเดียวกันปีนี้บริษัทจะเปลี่ยนแปลงภายในองค์กรครั้งใหญ่ คือ การปรับโครงสร้างองค์กร เพื่อยกระดับและเสริมความสามารถของทีมงาน โดยเฉพาะการมุ่งมั่นพัฒนาบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีและการปรับเข้าสู่ยุคแห่งเอไอของบริษัท 

โดยแผนการส่งเสริมและยกระดับบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญในด้านนี้ อยู่ระหว่างการหารือร่วมกับ มหาวิทยาลัยคาร์เนกีเมลลอน จากสหรัฐ ที่มีความเชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมคอมพิวเตอร์อันดับต้น ๆ ในโลก ร่วมพัฒนาคนและทักษะด้านเอไออย่างเต็มรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการส่งบุคลากรไปร่วมเทรนที่มหาวิทยาลัย และการนำบุคลากรของ คาร์เนกีเมลลอน มาร่วมยกระดับทักษะของพนักงานในองค์กรที่ประเทศไทย รวมถึงกำลังเจรจากับมหาวิทยาลัยระดับโลกชั้นนำอีกแห่งในการนำบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญสูงมาทำงานร่วมกันอีกด้วย 

ทั้งนี้สำหรับการลงทุนด้านเอไอ บริษัทได้ดำเนินการอย่างจริงจังมาตั้งแต่ปี 2567 แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาระบบอัตโนมัติ ทั้งระบบบัญชี การเงิน เพื่อให้บุคลากรปรับนำเวลามาใช้วางแผนและออกแบบสร้างสรรค์ต่าง ๆ พร้อมการนำระบบ แมชีนเลิร์นนิง มาบริหารจัดการระบบหลังบ้านและการประเมินสถานการณ์ต่างๆ รวมถึงการนำระบบกล้องมาใช้ประเมินความต้องการของผู้บริโภคและป้องกันการทุจริต เป็นต้น 

ในปีที่ผ่านมา บริษัทได้ลงทุนด้านเทคโนโลยี ทำให้ใช้งบในการพัฒนาบุคลากรด้านนี้รวม 200 ล้านบาท และสร้างทีมงานด้านเทคเพิ่มมาเกือบ 100 คน ขณะที่ภาพรวมทั้งองค์กรมีพนักงานประมาณ 20,000 คน และทีมงานทางด้านเทคประมาณ 500 คน

“ในปีนี้เราปรับโครงสร้างบริษัท มุ่งเพิ่มประสิทธิภาพของทีมงาน ได้คุยทีมคาร์เนกีเมลลอน ในการแลกเปลี่ยนบุคลากรระหว่างกัน ทั้งการนำคนของบริษัทไปเทรน และนำคนของ คาร์เนกีเมลลอน มาร่วมทำงานที่ไทย เพราะเมื่อประเมินที่สหรัฐ การใช้ระบบเอไอพัฒนาไปไกลมาก แต่เรายังเพิ่งตั้งไข่”

นายวีรธรรม กล่าวว่าการมุ่งเอไอเต็มรูปแบบ เพื่อร่วมยกระดับสร้างประสบการณ์ให้แก่ลูกค้า และรองรับการเป็น ออมนิชาแนล โดยในปัจจุบันมียอดขายสินค้าผ่านออนไลน์อยู่ในระดับไม่สูง ประมาณหลักล้านบาทต่อเดือน

ขยายโมเดลธุรกิจรับค้าปลีกแข่งดุ

นายวีรธรรม กล่าวว่า ปัจจุบันธุรกิจค้าปลีกแข่งขันกันรุนแรง ซึ่งบริษัทได้เตรียมการรับมือ หนึ่งในนั้นคือการเพิ่มโมเดลธุรกิจใหม่ 2 รูปแบบเข้ามาเสริมความแข็งแกร่ง จากปัจจุบันมีโมเดลหลัก 3 แบบได้แก่ ซูเปอร์มาร์เก็ต มีขนาดพื้นที่ 300 ตร.ม. ใช้งบลงทุนในการเปิดสาขาประมาณ 8 ล้านบาท โมเดลแบบมอลล์ ที่มีพื้นที่รีเทลในสาขา มีขนาด 300 ตร.ม. งบลงทุน 12 ล้านบาท และโมเดล ซีเจ เอ็กซ์ ขนาดพื้นที่ 200 ตร.ม. งบลงทุนต่ำกว่าแห่งอื่นประมาณ 2 ล้านบาท

และยังมีแผนขยายสินค้ากลุ่มใหม่ ๆ โดยสนใจสินค้าในกลุ่มเฮ้าส์แบรนด์ เข้ามาเพิ่มพอร์ตโฟลิโอ จากปัจจุบันบริษัทมีสินค้ากลุ่มเฮ้าส์แบรนด์ที่มีความแข็งแกร่งทั้งสินค้าเครื่องสำอาง จากนายน์บิวตี้ สินค้าไลฟ์สไตล์ สินค้าแฟชั่น เครื่องเขียน และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ แบรนด์อูโนะ (UNO) และสินค้าเครื่องดื่ม บาวคาเฟ่

ทั้งนี้ประเมินว่าจากแผนการรุกตลาดอย่างเข้มข้นและการลงทุนทางด้านเทคโนโลยี จะผลักดันให้ผลประกอบการรวมในปี 2568 ขยายตัว 30% และปิดยอดขายประมาณ 70,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ที่ทำได้ประมาณ 53,000 ล้านบาท และตั้งเป้าผลกำไร 3,700 ล้านบาท เติบโต 30% เช่นกัน 

“ผลประกอบการและกำไรที่จะเติบโตขึ้นในปีนี้มีปัจจัยหนุนมาจากทั้งการเปิดสาขา การจัดการต้นทุนที่ดีขึ้น สินค้ามีอัตราการทำกำไรเพิ่มขึ้น และขยายสินค้ากลุ่มที่มีอัตราการทำกำไรเพิ่มขึ้น ส่วนยอดขายสาขาเดิม เติบโต 10%”

นอกจากนี้ จากการปรับเปลี่ยนโครงสร้างบริษัทและการมุ่งสู่ยุคเอไอ ของซีเจ พร้อมการขยายพอร์ตโฟลิโอค้าปลีกและขยายสินค้าทำให้มีความมั่นใจว่าในระยะยาว ผลประกอบการโดยรวมในปี 2575 จะถึงระดับ 100,000 ล้านบาทตามแผนที่วางไว้

เล็งขยายพันธมิตรต่างประเทศ

นอกจากนี้ บริษัทสนใจขยายพันธมิตรต่างประเทศ คือ อินโดนีเซีย ที่เป็นตลาดใหม่และเติบโตรวดเร็ว จึงมุ่งเข้าไปเรียนรู้และศึกษาตลาดทั้ง สินค้ากลุ่มใหม่ เทคโนโลยี องค์ความรู้ รวมถึงพาร์ตเนอร์เช่นกัน

“หากไปดูตลาดอินโดนีเซีย เดิมในช่วง 4-5 ปีก่อนอาจจะล้าหลังประเทศไทย แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีเม็ดเงินการลงทุนจากต่างประเทศแซงหน้าไทยแล้ว ผู้บริโภคพัฒนาเหมือนติดลิฟต์ แต่ไทยพัฒนาเหมือนขั้นบันได”

ทางด้านแผนการนำบริษัทเข้าไประดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยนั้น บริษัทยังมีความสนใจอยู่ แต่ต้องประเมินสถานการณ์ตลาดให้เหมาะสม โดยปัจจุบันผลประกอบการโดยรวมยังเติบโตได้ตามเป้าหมายและสร้างผลกำไรอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา สร้างการเติบโตไม่ต่ำกว่า 30% ต่อปี มาประมาณ 10 ปีแล้ว