‘ปีใหม่ 2568’ ท่องเที่ยวสะพัด 6.2 หมื่นล้าน อีเวนต์ ‘เคานต์ดาวน์’ แน่นเมือง

ฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการ ททท. ระบุว่า เฉพาะ “ตลาดต่างประเทศ” คาดว่าจะมีจำนวน “นักท่องเที่ยวต่างชาติ” เดินทางเข้าไทย 1.56 ล้านคน เพิ่มขึ้น 16% สร้างรายได้ทางการท่องเที่ยว 45,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยจะเริ่มเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศตั้งแต่ช่วงวันหยุดคริสต์มาสต่อเนื่องไปจนถึงวันปีใหม่ (21 ธ.ค. 2567 - 1 ม.ค. 2568)

โดยมีปัจจัยสนับสนุนการเดินทาง ได้แก่ มาตรการ Ease of Traveling ส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยได้สะดวกและคล่องตัวขึ้น อาทิ การยกเว้นการตรวจลงตรา (ผ.60) 93 ประเทศ การยกเว้นยื่นใบ ตม. 6 ด่านทางบก-ทางน้ำ รวม 16 ด่าน นอกจากนี้ยังมีการเปิดเที่ยวบินใหม่อย่างน้อย 30 เที่ยวบิน เพื่อรองรับความต้องการเดินทางมายังประเทศไทยจากตลาดจีน เกาหลีใต้ ไต้หวัน อินเดีย สแกนดิเนเวีย และฝรั่งเศส ขณะเดียวกัน การจัดกิจกรรมระดับ “เวิลด์ คลาส อีเวนต์” (World Class Event) ของ ททท. ร่วมกับพันธมิตร คาดว่าจะดึงดูดนักท่องเที่ยวทั่วโลกและอินฟลูเอนเซอร์ (Influencer) มายังประเทศไทย

รวมทั้งแนวโน้มการเป็น “แหล่งท่องเที่ยวยอดนิยม” ทั้งในช่วงเทศกาลปีใหม่และตลอดปี 2568 ที่ประเทศไทยได้รับการจัดอันดับการแนะนำจาก “สื่อระดับโลก” เช่น ติดอันดับ 1 ใน 20 ของ Best Places to Go for New Year's Eve Celebrations Around the World ของนิตยสาร CONDÉ NAST TRAVELER ซึ่งในเอเชีย มีเพียงโตเกียว กรุงเทพฯ และฮ่องกง ที่ติดอันดับ ด้านนิตยสาร Timeout ระบุว่า เชียงใหม่ติดอันดับ 5 ขณะที่นิตยสาร Lonely Planet ระบุว่า เชียงใหม่ ติดอันดับในหมวด Local Flavors and Outdoor Adventure สำหรับ Lonely Planet’s Top Places to Go in 2025

ด้าน “ตลาดในประเทศ” คาดว่าจะมีจำนวน “ผู้เยี่ยมเยือนชาวไทย” ประมาณ 4.41 ล้านคน-ครั้ง เพิ่มขึ้น 29% และมีรายได้ทางการท่องเที่ยว 17,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา

สำหรับปัจจัยสนับสนุนการเดินทางในประเทศช่วงเทศกาลปีใหม่ คือมาตรการจากภาครัฐที่กระตุ้นให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยว อาทิ การประกาศวันหยุดยาวต่อเนื่อง 5 วัน (ตั้งแต่วันที่ 28 ธ.ค. 2567 - 1 ม.ค. 2568) โครงการแอ่วเหนือคนละครึ่ง และมาตรการแก้ไขปัญหาตั๋วเครื่องบินแพงช่วงเทศกาลปีใหม่ 2568 ของรัฐบาลซึ่งร่วมกับ 6 สายการบินที่ให้บริการเส้นทางภายในประเทศ ได้แก่ การบินไทย บางกอกแอร์เวย์ส ไทยแอร์เอเชีย นกแอร์ ไทยไลอ้อนแอร์ และไทยเวียตเจ็ท โดยลดราคาค่าโดยสารลง 30% ในเส้นทางจังหวัดท่องเที่ยวยอดนิยม (เชียงใหม่ เชียงราย กระบี่ ภูเก็ต สมุย อุดรธานี อุบลราชธานี และขอนแก่น)

นอกจากนี้ อากาศที่เย็นขึ้นยังเอื้อต่อบรรยากาศการเดินทาง และการจัดกิจกรรม “อะเมซิ่ง ไทยแลนด์ เคานต์ดาวน์ 2025” (Amazing Thailand Countdown 2025) ของ ททท. และพันธมิตรที่มีการตกแต่งประดับไฟ กิจกรรมแสงสีเสียง ควบคู่กับการผสมผสานวัฒนธรรมไทย บริเวณสวนนาคราภิรมย์ และสถานที่สำคัญที่เป็นแลนด์มาร์กริมแม่น้ำเจ้าพระยาในกรุงเทพฯ คาดว่าจะสามารถสร้างประสบการณ์แห่งความสุขกับช่วงเวลาส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ให้แก่นักท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี

ฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์

 

สรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยถึงผลการประเมินจำนวนนักท่องเที่ยวเบื้องต้นพบว่า ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. - 1 ธ.ค. 67 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยสะสมแล้ว 32,020,169 คน เพิ่มขึ้น 28% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา สร้างรายได้จากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติแล้วประมาณ 1,501,157 ล้านบาท

โดยจำนวนนักท่องเที่ยวสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ จีน 6,214,226 คน มาเลเซีย 4,506,898 คน อินเดีย 1,915,152 คน เกาหลีใต้ 1,685,600 คน และรัสเซีย 1,503,312 คน

สำหรับช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา (25 พ.ย. - 1 ธ.ค.) นักท่องเที่ยวชะลอตัวด้านการเดินทางในเกือบทุกกลุ่มตลาด โดยเฉพาะ “นักท่องเที่ยวมาเลเซีย” ซึ่งเป็นกลุ่มตลาดหลักที่ได้รับผลกระทบจากเหตุ “อุทกภัย” ใน อ.หาดใหญ่ (สงขลา) แหล่งท่องเที่ยวทางบกสำคัญ รวมถึงปัตตานี ยะลา และนราธิวาส โดยเดินทางเข้ามาลดลง 18,161 คน หรือลดลง 22.18% จากสัปดาห์ก่อนหน้า ส่งผลให้นักท่องเที่ยวกลุ่มตลาดระยะใกล้ (Short haul) เดินทางเข้ามาลดลง 6.76% จากสัปดาห์ที่ผ่านมา ในขณะที่นักท่องเที่ยวกลุ่มตลาดระยะไกล (Long haul) ชะลอตัวด้านการเดินทางซึ่งเป็นแนวโน้มปกติ ก่อนที่นักท่องเที่ยวจะเพิ่มขึ้นอีกครั้งในเดือน ธ.ค.

ภาพรวมในสัปดาห์ดังกล่าว มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งสิ้น 706,382 คน ลดลงจากสัปดาห์ก่อนหน้า 42,924 คน หรือ 5.73% คิดเป็นจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยเฉลี่ยวันละ 100,912 คน โดย 5 อันดับแรกของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ได้แก่ จีน 118,216 คน มาเลเซีย 63,725 คน รัสเซีย 47,914 คน อินเดีย 46,350 คน และเกาหลีใต้ 38,272 คน