‘แอร์เอเชีย’ ดันสนามบิน ‘กัวลาลัมเปอร์’ สู่ LCC Megahub ระดับโลก

‘แอร์เอเชีย’ ดันสนามบิน ‘กัวลาลัมเปอร์’ สู่ LCC Megahub ระดับโลก

‘แอร์เอเชีย’ ผลักดันสนามบินนานาชาติกัวลาลัมเปอร์เป็น ‘LCC Megahub’ ระดับโลก พร้อมเปิดตัวเส้นทางใหม่ในไตรมาส 4/67 มุ่งเป้าขยายธุรกิจไปยังเอเชียและแอฟริกา โดยให้มาเลเซียและ KLIA เป็นศูนย์กลางเชื่อมต่อสำคัญสำหรับสายการบินราคาประหยัดไปยังจุดหมายปลายทางใหม่ๆ

“แอร์เอเชีย” ได้รับการยอมรับจากดัชนี Megahubs ของ OAG ประจำปี 2567 ในฐานะผู้สนับสนุนและช่วยยกระดับท่าอากาศยานนานาชาติกัวลาลัมเปอร์ (KLIA) ให้เป็นเมกะฮับสายการบินราคาประหยัด (LCC) อันดับหนึ่งของโลก โดยแอร์เอเชียยืนยันความมุ่งมั่นที่จะขยายการดำเนินงานจากฮับนี้อย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้รายงานระบุว่าท่าอากาศยาน KLIA ถูกจัดอันดับให้เป็นสนามบินที่มีการเชื่อมต่อมากเป็นอันดับสองของโลก รองจากท่าอากาศยานฮีทโธรว์ (LHR) ในลอนดอน มีความสามารถในการเชื่อมต่อเที่ยวบินราคาประหยัดกว่า 14,500 เส้นทางไปยัง 137 จุดหมายปลายทาง 

เมกะฮับ หมายถึง ท่าอากาศยานที่มีปริมาณการเชื่อมต่อไปยังจุดหมายปลายทางระหว่างประเทศสูง ช่วยอำนวยความสะดวกในการเดินทางทั่วโลกอย่างกว้างขวาง นอกเหนือจาก LHR และ KLIA แล้ว ยังมีท่าอากาศยานอื่นๆ ที่ติดอันดับเมกะฮับ ได้แก่ ท่าอากาศยานฮาเนดะ ในโตเกียว ท่าอากาศยานนานาชาติสคิปโฮล ในอัมสเตอร์ดัม และท่าอากาศยานนานาชาติอินชอนในโซล

ในฐานะสายการบินชั้นนำ แอร์เอเชียให้บริการเที่ยวบินคิดเป็น 43% ของเที่ยวบินทั้งหมด และคิดเป็น 74% ของความสามารถในการรองรับสายการบินราคาประหยัดทั้งหมดของท่าอากาศยานในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ สายการบินได้ยืนยันการเปิดตัวเส้นทางใหม่ 5 เส้นทาง เพิ่มจากเส้นทางระหว่างประเทศ 112 เส้นทางและเส้นทางภายในประเทศ 14 เส้นทางที่ดำเนินการอยู่ในปัจจุบันจาก KLIA ภายใต้ทุกสายการบินในกลุ่ม นอกจากนี้ สายการบินยังจะเปิดเส้นทางใหม่ไปยังประเทศอื่น ๆ ในเอเชียและแอฟริกา ปัจจุบันมีเที่ยวบินออกสูงสุด 236 เที่ยวต่อวันจาก KLIA

‘แอร์เอเชีย’ ดันสนามบิน ‘กัวลาลัมเปอร์’ สู่ LCC Megahub ระดับโลก

การเชื่อมต่อที่ครอบคลุมของแอร์เอเชียจาก 5 ประเทศที่ดำเนินการอยู่ทั่วอาเซียน ได้แก่ กรุงเทพฯ ประเทศไทย  จาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย พนมเปญ ประเทศกัมพูชา และมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ มีบทบาทสำคัญไม่เพียงแค่การสร้างกัวลาลัมเปอร์ให้เป็นเมกะฮับสายการบินราคาประหยัดชั้นนำของโลกเท่านั้น แต่ยังช่วยเสริมความแข็งแกร่งในตลาดภูมิภาคอีกด้วย โดยแอร์เอเชียประเทศไทยเป็นสายการบินชั้นนำที่ท่าอากาศยานดอนเมืองในกรุงเทพฯ ซึ่งติดอันดับท่าอากาศยานสายการบินราคาประหยัดเชื่อมต่อมากที่สุดอันดับที่ 15 ของโลก ขณะที่แอร์เอเชียอินโดนีเซียครอง

ตำแหน่งที่คล้ายกันที่ท่าอากาศยานนานาชาติกุสติ งูราห์ไร ซึ่งติดอันดับที่ 18 ใน 25 อันดับสนามบินสายการบินราคาประหยัดชั้นนำ

นายโทนี่ เฟอร์นานเดส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Capital A และที่ปรึกษาของ AirAsia Aviation Group ให้ความเห็นว่า เมื่อ 23 ปีที่แล้ว ตอนที่ผมร่วมก่อตั้งแอร์เอเชีย ผมมองเห็นอนาคตที่ KLIA จะยืนหยัดเป็นหนึ่งในสนามบินชั้นนำของโลก วันนี้มันได้กลายเป็นสนามบินที่มีการเชื่อมต่อมากเป็นอันดับสองของโลก ขับเคลื่อนด้วยพลังของแอร์เอเชียที่เป็นเมกะฮับสายการบินราคาประหยัดชั้นนำของโลก KLIA ครองอันดับหนึ่งในภูมิภาคนี้ โดยมีการเชื่อมต่อของสายกาารบินราคาประหยัดกว่า 14,500 เส้นทาง ซึ่งมากกว่าสิงคโปร์และกรุงเทพฯ ในด้านการเชื่อมต่อทางอากาศ

การขยายเครือข่ายอย่างต่อเนื่องของแอร์เอเชียจะไม่เพียงช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับตำแหน่งของ KLIA ในกลุ่มสนามบินที่ดีที่สุดของโลก แต่ยังทำให้เราสามารถแข่งขันได้ในตลาดเกิดใหม่และตลาดที่ก่อตั้งขึ้นแล้ว การประชุมผู้ถือหุ้นของ Capital A ที่จะเกิดขึ้นในสัปดาห์หน้า เพื่อรวมการดำเนินงานภายใต้กลุ่มการบินเดียวจะช่วยเสริมแผนขยายตัวนี้ ทำให้เราสามารถเพิ่มประสิทธิภาพและขับเคลื่อนการเติบโตในระยะยาวให้กับสายการบินได้

“แอร์เอเชียเป็นให้บริการรายใหญ่ที่สุดสำหรับเส้นทางระหว่างอาเซียนกับทั้งอินเดียและจีน และ KLIA เป็นฮับหลักในบริการ Fly-Thru ของเรา การเปิดเส้นทางใหม่ล่าสุดไปยังอัลมาตี ไนโรบี และพอร์ตแบลร์ เป็นการเข้าสู่ตลาดใหม่ของแอร์เอเชีย โดยจะมีเที่ยวบินเพิ่มเติมไปยังเอเชียและแอฟริกาในอนาคตอันใกล้นี้ เมื่อแอร์เอเชียเผชิญกับสภาวะเศรษฐกิจที่เติบโตขึ้น และความต้องการเดินทางที่เพิ่มขึ้นในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก การขยายเครือข่ายของเราจะเชื่อมโยงภูมิภาคต่าง ๆ ได้อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ยกระดับการเชื่อมต่อสายการบินราคาประหยัดออกจาก KLIA สู่ระดับใหม่อย่างสิ้นเชิง”

นายโบ ลิงกัม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร AirAsia Aviation Group ได้เน้นย้ำถึงบทบาทของการขยายฝูงบินของแอร์เอเชียในการสนับสนุนแผนการเติบโตของเครือข่าย ปีนี้แอร์เอเชียเริ่มดำเนินการตามคำสั่งซื้อของเราอีกครั้ง โดยรับมอบเครื่องบิน A321neo ใหม่ 4 ลำ และจะรับมอบอีก 5 ลำในอนาคต นอกจากนี้การนำเครื่องบินกลับมาใช้งานในฝูงบินของเรายังคงดำเนินต่อไปและคาดว่าจะเสร็จสิ้นภายในปีนี้ ขณะนี้เรามีคำสั่งซื้อเครื่องบินรุ่น A321 จำนวน 361 ลำ เพื่อตอบสนองความต้องการการเติบโตและการทดแทนฝูงบินของกลุ่มสายการบิน ด้วยการรับมอบเครื่องบินที่มั่นคงนี้ เราสามารถขยายเครือข่ายของเราได้อย่างรวดเร็วและเสริมสร้างการเชื่อมต่อทั่วเอเชียและอื่นๆ และเปลี่ยนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้เป็นดูไบแห่งใหม่ ในฐานะจุดเปลี่ยนถ่ายสำคัญผ่านการเชื่อมต่อหลายฮับของเรา

"บริการ Fly-Thru ของเรายังมีบทบาทสำคัญในการเชื่อมต่อนักท่องเที่ยวจากทั่วเอเชีย บริการนี้ช่วยให้นักเดินทางจากตลาดหลัก ๆ เช่น อินเดียและจีน สามารถเข้าถึงสถานที่ใหม่ ๆ ที่น่าตื่นเต้นในเครือข่ายของเรากว่า 130 จุดหมายปลายทางทั่วเอเชีย ออสเตรเลีย และในอนาคต แอฟริกา เราตั้งเป้าที่จะเพิ่มจำนวนผู้โดยสาร Fly-Thru เป็น 25% ภายในปี 2025 จาก 21% ในปี 2019 ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างการเชื่อมต่อของเราให้ดียิ่งขึ้น"

สอดคล้องกับแผนการเติบโตของสายการบินในการสร้างเครือข่ายสายการบินราคาประหยัดทั่วโลก สายการบินกำลังจะประกาศจุดหมายปลายทางที่น่าตื่นเต้นมากขึ้นก่อนสิ้นปีนี้ เพื่อยืนยันความมุ่งมั่นในการเชื่อมต่ออาเซียนกับโลก และโลกกับอาเซียน