ท่องเที่ยวรื้อแผน ดันไทย ‘ฮับชอปปิง’ ดึงทัวริสต์ เล็งโมเดล VAT Refund ญี่ปุ่น

“สรวงศ์” เดินหน้าดันไทย “ชอปปิง เดสติเนชัน” แห่งภูมิภาค เล็งใช้โมเดลญี่ปุ่น “แวตรีฟันด์” นักท่องเที่ยวขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มที่ร้านค้าร่วมโครงการได้ทันที เผยอยู่ระหว่างรื้อแผนกระตุ้นท่องเที่ยวปี 68
KEY
POINTS
- “สรวงศ์” เดินหน้าดันไทย “ชอปปิง เดสติเนชัน” แห่งภูมิภาค เล็งใช้โมเดลญี่ปุ่น “แวตรีฟันด์” นักท่องเที่ยวขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มที่ร้านค้าร่วมโครงการได้ทันที
- เผยอยู่ระหว่างรื้อแผนกระตุ้นท่องเที่ยวปี 68 หลังรายได้ตลาดต่างชาติเที่ยวไทย 9 เดือนแรกยอดสะสมแค่ 1.18 ล้านล้านบาท เร่งอัดโปรโมชัน-อีเวนต์ 3 เดือนโค้งสุดท้าย
- “ททท.” ชูแคมเปญ “ว้าว! ไทยแลนด์ พาสปอร์ต พริวิเลจ” อัดส่วนลด สิทธิพิเศษ ดันเป้ารายได้
- “สมาคมโรงแรมไทย” ชงรัฐขยายร้านค้าขอคืน VAT พร้อมยกเว้นภาษีแบรนด์เนม จูงใจต่างชาติชอปปิง
การผลักดันประเทศไทยสู่ศูนย์กลางการชอปปิงระดับเอเชีย แข่งขันกับฮ่องกง ญี่ปุ่น เกาหลี และสิงคโปร์ ยังคงเผชิญความท้าทายเรื่องปัญหากำลังซื้อของนักท่องเที่ยวต่างชาติ รวมถึงระบบโครงสร้างพื้นฐานในไทยที่ต้องยกระดับเพิ่ม ให้นักท่องเที่ยวสามารถชอปปิงได้อย่างสะดวกเพื่อกระตุ้นการจับจ่าย ส่งเสริมรายได้จากตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติไปให้ถึงเป้าหมาย โดยในปี 2567 การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ตั้งเป้ารายได้รวมจากตลาดในและต่างประเทศ 3 ล้านล้านบาท ส่วนปี 2568 ตั้งเป้าการเติบโต 7.5% จากฐานรายได้รวมที่เกิดขึ้นจริงตลอดปีนี้
นายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า การส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็น ชอปปิง เดสติเนชัน (Shopping Destination) ขณะนี้มองถึงแนวทางการอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวต่างชาติเรื่องขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม (Vat Refund) เบื้องต้นอาจใช้โมเดลญี่ปุ่นที่นักท่องเที่ยวสามารถยื่นขอคืนภาษี ณ ร้านค้าหรือจุดขายได้ทันที ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายฝ่ายทั้งกระทรวงการคลังและภาคเอกชน หลังได้รับรายงานว่าขั้นตอนขอคืนภาษีที่เคาน์เตอร์เป็นไปอย่างล่าช้า ต่อแถวยาว ไม่สะดวกสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ
“วาระเร่งด่วนของกระทรวงการท่องเที่ยวฯ นอกเหนือจากการดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยให้ได้มากที่สุดแล้ว จะต้องรุกเพิ่มการใช้จ่ายเพื่อผลักดันรายได้ไปให้ถึงเป้าหมาย ด้วยการดึงภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วม”
“สรวงศ์” รื้อแผนกระตุ้นท่องเที่ยวปี 68
นายสรวงศ์ กล่าวว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างรื้อแผนกระตุ้นภาคการท่องเที่ยวปี 2568 โดยเฉพาะในช่วงโลว์ซีซัน ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวฯ จะฟื้นโครงการเราเที่ยวด้วยกันอีกครั้ง เพื่อช่วยเหลือทั้งผู้บริโภคและผู้ประกอบการ เนื่องจากแพลตฟอร์มของโครงการฯ ยังมีอยู่ ขณะเดียวกันปริมาณที่นั่งสายการบินเส้นทางบินในประเทศก็มีจำนวนมาก
ทั้งนี้ จากสถิติจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทย สะสมตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-22 ก.ย. มีจำนวน 25,413,226 คน โดยตลาดนักท่องเที่ยวสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ จีน 5,107,697 คน มาเลเซีย 3,643,753 คน อินเดีย 1,485,017 คน เกาหลีใต้ 1,347,069 คน และรัสเซีย 1,137,867 คน สร้างรายได้จากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติแล้ว 1,188,099 ล้านบาท ทำให้ช่วง 3 เดือนสุดท้ายนี้ กระทรวงการท่องเที่ยวฯ จะพยายามผลักดันให้ได้ทั้งจำนวนและรายได้จากตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติตามเป้าหมายที่วางไว้ไม่น้อยกว่า 35 ล้านคน สร้างรายได้ 2 ล้านล้านบาท ถือเป็นเป้าที่เหนื่อย เพราะยังขาดอีกกว่า 8 แสนล้านบาทที่ต้องทำเพิ่มในช่วงที่เหลือ โดยต้องเร่งอัดอีเวนต์และโปรโมชันต่างๆ ให้กับนักท่องเที่ยวและผู้ประกอบการ
“แผนกระตุ้นเศรษฐกิจอื่นๆ จะมีการทยอยประกาศออกมา ระหว่างนี้ต้องรอแผนกระตุ้นเศรษฐกิจภาพใหญ่ที่นายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร จะประกาศออกมาในเร็วๆ นี้ โดยกระทรวงการท่องเที่ยวฯ พร้อมดำเนินการตามนโยบายของนายกฯ ซึ่งเราจะคุยกันที่ตัวเลขจริงๆ ไม่มโน”
เอกชนจี้รัฐขยายร้านค้าขอคืน VAT
นายเทียนประสิทธิ์ ไชยภัทรานันท์ นายกสมาคมโรงแรมไทย (THA) กล่าวกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า หากรัฐบาลสามารถโปรโมตประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการชอปปิงระดับภูมิภาคเอเชียได้ นับว่าเป็นเรื่องดี โดยจุดที่ต้องเร่งยกระดับคือการเพิ่มจำนวนร้านค้าหรือจุดขอคืน VAT ให้แพร่หลายมากขึ้น อย่างในประเทศญี่ปุ่น พบว่าศูนย์การค้าหลายแห่งมีเซ็นเตอร์ให้นักท่องเที่ยวสามารถยื่นขอคืน VAT ได้แบบเป็นเรื่องเป็นราว หรือแม้แต่ร้านค้าทั้งขนาดเล็ก กลาง และใหญ่ที่มีป้ายสัญลักษณ์ Japan Tax-free Shop ก็สามารถขอคืน VAT ได้เลยเช่นกัน
นอกจากนี้ ต้องเร่งส่งเสริมให้ร้านค้าในไทยรองรับการจับจ่ายแบบไร้เงินสด (Cashless) เพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวจากทุกตลาด ถึงจะช่วยยกระดับประเทศไทยสู่การเป็นฮับชอปปิงของภูมิภาคได้ดียิ่งขึ้น อย่างตลาดนักท่องเที่ยวจีนซึ่งเดินทางเข้าไทยมากเป็นอันดับ 1 ในตอนนี้ ทางภาครัฐจำเป็นต้องหาวิธีอำนวยความสะดวกด้านการจับจ่าย โดยเฉพาะช่องทาง WeChat ที่ชาวจีนเกือบ 100% นิยมใช้งาน เพราะในประเทศจีนแทบจะเลิกพกเงินสดกันแล้ว ถ้าจะต้องมาแลกเงินสดใช้ในไทย ก็อาจไม่สะดวกสำหรับนักท่องเที่ยวจีน และอาจทำให้ใช้จ่ายน้อยลงตามไปด้วย
“โจทย์ของรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องคือ ทำอย่างไรให้นักท่องเที่ยวสามารถจับจ่ายได้อย่างสะดวก และเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไทย”
ชงภาษีแบรนด์เนม 0% ดึงทัวริสต์สายเปย์
นอกจากนี้ ต้องการให้รัฐบาลลดหรือยกเว้นภาษีนำเข้าสินค้า เช่น สินค้าแบรนด์เนม เพราะถ้าย้อนไปยังหลายปีก่อน นักท่องเที่ยวต่างชาตินิยมเดินทางไปชอปปิงสินค้าแบรนด์เนมที่ฮ่องกง เพราะได้รับการยกเว้นภาษีจริงๆ และถ้ารัฐบาลต้องการส่งเสริมให้กรุงเทพฯ หรือทั่วประเทศไทยเป็นฮับการชอปปิง คงไม่สามารถยกเว้นภาษีสินค้านำเข้าได้เฉพาะที่ห้างร้านขายสินค้าปลอดอากรเท่านั้น โดยบางกรณีอาจจะให้ผู้ประกอบการห้างร้านขายสินค้าปลอดอากรได้ประโยชน์มากกว่าร้านค้าทั่วไป แต่ภาพรวมสินค้าทั่วไปต้องมีราคาจูงใจให้คนมาซื้อและสามารถแข่งขันได้ด้วย ซึ่งรัฐบาลต้องพิจารณาว่าจะลดหรือยกเว้นภาษีสินค้ากลุ่มไหนบ้าง เพื่อสนับสนุนภาพกว้างในการดึงดูดนักท่องเที่ยวให้รู้สึกว่าการเดินทางมาชอปปิงในเมืองไทยนั้นเต็มไปด้วยคุ้มค่า
ประกอบกับปัจจุบันภาพลักษณ์ด้านการชอปปิงของประเทศไทยในแง่ความทันสมัย ความเร็วของการวางขายสินค้าออกใหม่ ถือว่าใช้ได้ในระดับต้นๆ ของโลก เช่น ไอโฟนรุ่นใหม่ก็มีขายรวดเร็ว กล้องรุ่นใหม่ก็มีขาย เพียงแต่ว่าราคาต้องจูงใจ ว่าทำไมนักท่องเที่ยวถึงไม่ไปซื้อของในประเทศเขา แต่เลือกมาซื้อในไทยแทน
“ส่วนปัจจัยเงินบาทแข็งค่าในตอนนี้ ด้วยสถานการณ์ยังไม่นิ่ง สิ่งที่ภาคเอกชนจับตาคือขออย่าให้ผันผวน เมื่อค่าเงินบาทนิ่ง นักท่องเที่ยวก็จะตัดสินใจเดินทางมาจับจ่ายและซื้อสินค้าในไทย”
ททท. จัดแคมเปญอัดส่วนลดดึงทัวริสต์
นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการ ททท. กล่าวว่า ททท. เร่งดำเนินมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่องตามนโยบายของรัฐบาล โดยให้ความสำคัญต่อการกระตุ้นการเดินทางและการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติ เพื่อให้การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวเป็นไปตามเป้าที่กำหนดไว้ โดยเฉพาะไตรมาสสุดท้าย ไฮซีซันของการท่องเที่ยวไทย โดยดำเนินโครงการ “อะเมซิ่ง ไทยแลนด์ พาสปอร์ต พริวิเลจ” (Amazing Thailand Passport Privileges) จัดแคมเปญ “ว้าว! ไทยแลนด์ พาสปอร์ต พริวิเลจ” (WOW! Thailand Passport Privileges) มอบส่วนลด สิทธิพิเศษ และของที่ระลึกให้กับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยในช่วงเดือน พ.ย.-ธ.ค. 2567
โดยมีเป้าหมายดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติให้เข้ามาท่องเที่ยว ทั้งตลาดระยะใกล้ อาทิ จีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ไต้หวัน อินโดนีเซีย และมาเลเซีย และตลาดระยะไกล อาทิ สหราชอาณาจักร สหรัฐ แคนาดา และกลุ่มประเทศในยุโรป ผลักดันอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยสู่การเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยว (Tourism Hub) ของภูมิภาค
แคมเปญ WOW! Thailand Passport Privileges มี 4 กิจกรรมไฮไลต์ กิจกรรมแรก Must Do Souvenirs: From Heart to Hands แจกของที่ระลึก 100,000 ชิ้น ตามแนวคิด 5 Must Do in Thailand ให้นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทย ตั้งแต่เดือน พ.ย. ถึงวันที่ 16 ธ.ค. โดยแสดงหนังสือเดินทางและลงทะเบียน ณ บูธกิจกรรม บริเวณจุดตรวจคนเข้าเมือง 3 ท่าอากาศยาน สุวรรณภูมิ ดอนเมือง และภูเก็ต
กิจกรรมที่ 2 First Come, First Wow! มอบส่วนลดและสิทธิพิเศษสุดว้าว ให้นักท่องเที่ยวต่างชาติ 10,000 คนแรกที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ บริเวณจุดตรวจคนเข้าเมือง ในพื้นที่ 3 ท่าอากาศยานที่กำหนด และสิทธิพิเศษทั่วไปสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ที่กำหนด กดรับสิทธิ์และนำหนังสือเดินทางไปยื่นใช้ประกอบการแลกรับสิทธิ์ที่สถานประกอบการที่เข้าร่วมรายการ
กิจกรรมที่ 3 Lucky Number มอบรางวัลพิเศษ (Full Board) ประกอบด้วยบัตรโดยสารเครื่องบินภายในประเทศ ส่วนลดที่พัก ร้านอาหาร และกิจกรรมต่างๆ 20 รางวัล มูลค่ารางวัลละ 35,000 บาท รวมมูลค่า 700,000 บาท ให้นักท่องเที่ยวทุกคนที่ 10,000 ที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ กิจกรรมที่ 4 Big Surprise! นักท่องเที่ยวลุ้นรับรางวัลเซอร์ไพรส์ 1 รางวัล มูลค่ารวม 300,000 บาท จากการสุ่มรายชื่อนักท่องเที่ยวที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการพร้อมทำแบบสอบถามครบถ้วน