จากผู้ก่อสร้าง สมูทอี-เดนทิสเต้ สู่นักปั้นแบรนด์ไทยผงาดโลก
'เภสัชกร ดร.แสงสุข พิทยานุกุล' จากผู้ก่อตั้งแบรนด์ สมูทอี-เดนทิสเต้ สู่ผู้อยู่เบื้องหลัง ปั้นแบรนด์ไทยโกยยอดขายพันล้านบาท
สมูทอี และเดนทิสเต้ แบรนด์ที่คนไทยหลายเข้าใจผิดว่าเป็น แบรนด์ต่างชาติ แต่มีเส้นทางการก่อตั้งจาก “เภสัชกร ดร.แสงสุข พิทยานุกุล” กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามเฮลท์กรุ๊ป ผู้ผลิตเดนทิสเต้ และสมูทอี ได้สามารถผลักดันแบรนด์ไทยตลอดร่วม 30 ปี ให้มีภาพลักษณ์ใหม่ สร้างการตอบรับที่ดีไม่เฉพาะตลาดในไทย แต่รวมถึงตลาดในต่างประเทศด้วย
“เภสัชกร ดร.แสงสุข พิทยานุกุล” กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามเฮลท์กรุ๊ป ผู้ผลิตเดนทิสเต้ และสมูทอี กล่าวว่า แผนของเดนทิสเต้ในปี 2567 ได้มุ่งภารกิจการเป็นโกลบอลแบรนด์ จึงเตรียมเปิดแนวรุกขยายตลาดส่งออกสินค้าออกไปในประเทศที่สำคัญ ทั้งสหรัฐ และในยุโรป มุ่งเจาะประเทศ ฝรั่งเศส อังกฤษ และเยอรมนี ผ่านการมีตัวแทนจำหน่ายและขยายช่องทางดิจิทัล มาร์เก็ตติ้ง รวมถึงเลือกใช้อินฟลูเอนเซอร์ จากปัจจุบันได้มีฐานผลิตสินค้าอยู่ในเยอรมนีแล้ว
เปิดกลยุทธ์สร้างแบรนด์สู่ต่างประเทศ
สำหรับการขยายตลาดไปต่างประเทศ ได้ใช้โมเดลที่ประสบความสำเร็จมาแล้ว ทั้งเกาหลีใต้ สิงคโปร์ ญี่ปุ่น และภูมิภาคอาเซียน ทำให้ภาพรวมในปัจจุบัน เดนทิสเต้ สามารถสร้างสัดส่วนการส่งออกอยู่ที่ 50% และในประเทศ 50% แล้ว ซึ่งมีตลาดส่งออกหลักอยู่ในประเทศ เกาหลีใต้ ประมาณ 40% รองลงมา ประเทศกัมพูชา 15% และที่เหลือประเทศอื่นๆ
แนวทางเร่งบุกต่างประเทศ เพื่อทำให้ เดนทิสเต้ ก้าวสู่การเป็นโกลบอลแบรนด์ ในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า ที่จะมีสินค้าสินค้าวางจำหน่ายในอยู่ในชอปต่างๆ ของประเทศชั้นนำทั่วโลก ทั้งประเทศสหรัฐ ฝรั่งเศส เยอรมนี อังกฤษ เหมือนแบรนด์ชื่อดังในโลก จากปัจจุบันแบรนด์ได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มลูกค้าทั้งในเกาหลีใต้ และหลายประเทศในภูมิภาคเอเชียแล้ว
“ในปีนี้เริ่มรุกตลาดไปในประเทศญี่ปุ่น และเลือกใช้คนดังของประเทศญี่ปุ่นสร้างแบรนด์ ร่วมสร้างจดจำในสินค้า สร้างยอดขายเติบโตสูงถึง 100% ในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้”
“อีโมชั่นนอล มาร์เก็ตติ้ง” - "ลิซ่า" แนวรุกสร้างตลาด
แนวทางเจาะตลาดได้ใช้กลยุทธ์ “อีโมชั่นนอล มาร์เก็ตติ้ง” เพื่อร่วมสร้างการจดจำให้แก่กลุ่มลูกค้า หันมาสร้างโมเมนต์ที่ดีในการเจอกัน ถือเป็นการสร้างความแตกต่างจากแบรนด์อื่นๆ ที่มุ่งเน้นใช้กลยุทธ์กับ ออรัลแคร์ ฟังก์ชั่นนอล เป็นหลัก
พร้อมกันนี้ ยังได้ดึง “ลิซ่า ลลิษา มโนบาล” ซูเปอร์สตาร์ระดับโลก มาร่วมเป็น โกลบอลแอมบาสเดอร์ อีกครั้ง โดยการเจรจาในครั้งนี้ประเมินมูลค่าสัญญาประมาณ 4 ล้านเหรียญสหรัฐ คาดว่าจะสามารถเปิดตัวและแคมเปญร่วมกันได้ในช่วงปลายเดือน ก.ค.นี้เป็นต้นไป
ทั้งนี้การดึง ลิซ่า เข้ามาร่วมเป็นโกลบอลแอมบาสเดอร์ เป็นการต่อยอดความสำเร็จ ภายหลังที่ได้ร่วมมาเป็น โกลบอลแอมบาสเดอร์มาตั้งแต่ปี 2564 และประสบความสำเร็จอย่างสูงทั้งในประเทศไทยและยอดขายทั่วโลก
อีกทั้งบริษัทยังมีแผนขยายตลาดกับผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปากสำหรับลูกค้าที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป เพื่อมุ่งเจาะตลาดนิชมาร์เก็ต โดยประเมินว่า ภาพรวมในปีนี้ บริษัทจะสร้างผลประกอบการรวม 4,000 ล้านบาท ซึ่งการเติบโตมาจากตลาดต่างประเทศ ประมาณ 20% ส่วนตลาดในประเทศภาพรวมกำลังซื้ออาจจะยังทรงตัวอยู่
"เรามุ่งสร้างแบรนด์สู่โกลบอล ทำให้มีสินค้าอยู่ในเมืองชั้นนำในโลก ทั้งใน โตเกียว นิวยอร์ก ปารีส สิงคโปร์ เซี่ยงไฮ้ ลอนดอน และในเมืองต่างๆ ของยุโรป เพราะการมาของโลกดิจิทัล ทำให้เราไม่ต้องทุ่มงบการตลาดเป็นพันล้านบาท ทุ่มไปสร้างแบรนด์ในแต่ละประเทศ เราสามารถใช้ดิจิทัลเป็นแนวรุกได้"
แพชชั่นใหม่สู่การสร้างนักธุรกิจ-บุคลากรทางการแพทย์
“เภสัชกร ดร.แสงสุข" กล่าวต่อว่า การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในช่วงที่ผ่านมา นอกจากการผลักดันแบรนด์ให้มุ่งไปสู่เป้าหมายสู่โกลบอลแบรนด์แล้ว ได้ทำหลักสูตรทางด้านบริหารธุรกิจ สำหรับนักธุรกิจไทยที่ต้องการสร้างแบรนด์เติบโตอย่างรวดเร็ว โดยที่ผ่านมามีแบรนด์ไทยได้เข้ามาอยู่ร่วมหลักสูตร ทั้ง ดอกเตอร์พงศ์, PIPATCHARA เสื้อยืด ยืดเปล่า เป็นต้น ซึ่งหลายแบรนด์สร้างผลประกอบการเติบโตที่ดี
“ทุกแบรนด์ที่มาเรียนต่างประสบความสำเร็จ สร้างยอดขายถึงพันล้านบาท หรือ หลายพันล้านบาท แต่ไม่ได้เป็นเพราะผม มาจากเจ้าของแบรนด์ และการสร้างอีโคซิสเต็ม ร่วมบ่มเพาะธุรกิจต่างๆ”
รวมถึงได้จัดตั้ง “คณะเภสัชศาสตร์” สถาบันวิทยาการประกอบการแห่งอโยธยา (IESA) โดยมีตนเองเป็น อธิการบดีสถาบันวิทยาการประกอบการแห่งอโยธยา (IESA) ซึ่งเป็นสถาบันเปิดการเรียนการสอน “คณะเภสัชศาสตร์” หลักสูตรเภสัชศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาเภสัชกรรมอุตสาหการ มีเวลาเรียน 6 ปี โดยเลือกเรียนควบปริญญาตรีและโท พร้อมรับวุฒิ เภสัชศาสตรบัณฑิต (ภ.บ.) และ MBA (Master of Business Administration) ได้ในหลักสูตรเดียว ซึ่งหลักสูตรนี้ได้รับความเห็นชอบและรับรองสถาบันจากสภาเภสัชกรรมแล้ว สำหรับการเปิดสถาบันฯ ในครั้งนี้ มาจากความตั้งใจของบริษัทที่ต้องการร่วมสร้างบุคลาทางการแพทย์ ที่มีศักยภาพออกมาสู่ประเทศ จากที่ผ่านมามีปัญหาการขาดแคลนมาตลอด โดยเฉพาะเภสัชกรจำนวนหลายพันคน และมีแผนขยายคณะใหม่ๆ ทางการแพทย์ ในปีต่อไป
“เวลาผมเห็น นักเรียนที่ได้เข้ามาเรียนธุรกิจแล้ว ประสบความสำเร็จ หลายแบรนด์อาจใช้เวลาหลายปี ความรู้สึกคือ ปิติในใจ เป็นสิ่งที่เราทำแล้วมีความสุข”