ยักษ์ใหญ่เชนโรงแรมจีน ‘H World Group’ จ่อบุกตลาดอาเซียน นำร่องไทย-สิงคโปร์

ยักษ์ใหญ่เชนโรงแรมจีน ‘H World Group’ จ่อบุกตลาดอาเซียน นำร่องไทย-สิงคโปร์

“เอช เวิลด์ กรุ๊ป” เชนโรงแรมยักษ์ใหญ่จีน เตรียมบุกตลาดอาเซียนอย่างจริงจัง นำร่องเปิดสาขาแรกในไทยคือรีโนเวท "โรงแรมมณเฑียร สุรวงศ์ กรุงเทพฯ" ใต้แบรนด์ "สไตน์เบิร์กเกอร์"และมีแผนเปิดโรงแรมแบรนด์ "แมกซ์" ที่พัทยาช่วงปลายปี 2025

KEY

POINTS

  • เอช เวิลด์ กรุ๊ป ผู้ประกอบการโรงแรมยักษ์ใหญ่ของจีน เตรียมบุกตลาดอาเซียนอย่างจริงจัง
  • นำร่องเปิดสาขาแรกในไทยคือ "โรงแรมมณเฑียร สุรวงศ์ กรุงเทพฯ" ใช้แบรนด์ "สไตน์เบิร์กเกอร์"
  • สาขาแรกในอาเซียนคือ "จี โฮเต็ล" ที่สิงคโปร์ เปิดให้บริการแล้วตั้งแต่ปี 2019
  • มีแผนเปิดโรงแรมแบรนด์ "แมกซ์" ที่พัทยาช่วงปลายปี 2025 รวม 108 วิลล่า
  • ขยายกิจการต่างประเทศตั้งแต่ปี 2019 ด้วยการเข้าซื้อกิจการในยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกา
  • พัฒนาระบบปฏิบัติการรองรับการทำงานทุกด้านด้วยตนเอง เป็นจุดแข็งสำคัญ

 

สำนักข่าวนิกเคอิ เอเชีย รายงานวันนี้ (20 พ.ค.) ว่า บริษัท เอช เวิลด์ กรุ๊ป (H World Group) ผู้ประกอบธุรกิจโรงแรมรายใหญ่ของจีน มีเครือข่ายสาขากว่า 9,000 แห่งทั่วประเทศ เตรียมบุกตลาดภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างจริงจัง โดยมีเป้าหมายในสร้างแบรนด์สู่ระดับสากลบนพื้นฐานของระบบจองห้องพักและบริหารลูกค้าสัมพันธ์ที่เป็นทรัพย์สินทางปัญญาของบริษัทฯ

โรงแรมแห่งแรกในประเทศไทยคือ "โรงแรมมณเฑียร สุรวงศ์ กรุงเทพฯ" ที่เพิ่งปรับปรุงภูมิทัศน์ใหม่ ซึ่งเป็นโรงแรมหรูระดับพรีเมียม จำนวน 475 ห้องพัก ตั้งอยู่ย่านใจกลางกรุงเทพมหานคร โรงแรมแห่งนี้จะดำเนินการภายใต้แบรนด์ "สไตน์เบิร์กเกอร์" (Steigenberger) ซึ่งเป็นหนึ่งในแบรนด์โรงแรมภายใต้เครือของบริษัทฯ

ยักษ์ใหญ่เชนโรงแรมจีน ‘H World Group’ จ่อบุกตลาดอาเซียน นำร่องไทย-สิงคโปร์ โรงเเรมจี โฮเต็ล ที่ประเทศสิงคโปร์

สำหรับโรงแรมสาขาแรกในภูมิภาคนี้ของเอชเวิลด์ คือโรงแรม "จี โฮเต็ล" (Ji Hotel) ที่ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งเปิดดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2019 นอกจากนี้ บริษัทยังอยู่ระหว่างการก่อสร้างโรงแรมภายใต้แบรนด์ระดับกลางอย่าง "แมกซ์" (Maxx) ที่พัทยา จังหวัดชลบุรี โดยมีแผนจะเปิดให้บริการในช่วงปลายปี 2025 โรงแรมแห่งนี้จะประกอบไปด้วยวิลล่าจำนวน 108 หลัง

ในปี 2019 เอชเวิลด์ยังขยายกิจการไปยังต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ด้วยการเข้าซื้อกิจการของบริษัทผู้ประกอบการโรงแรมชื่อดัง ทั้งในยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกา โดยเฉพาะการครอบครองกิจการ ดอยเชอร์ ฮอสพิทาลิตี้ (Deutsche Hospitality) ผู้ประกอบการโรงแรมชาวเยอรมันด้วยมูลค่า 700 ล้านยูโร หรือราว 755 ล้านดอลลาร์ ซึ่งภายหลังได้เปลี่ยนชื่อเป็น "เอชเวิลด์ อินเตอร์เนชั่นแนล" ในช่วงปลายเดือนก.พ.ที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้แผนการขยายธุรกิจสู่ระดับสากลของเอชเวิลด์ผ่านการใช้ประโยชน์จากกลุ่มบริษัทชาวเยอรมันดังกล่าวต้องถูกชะลอไปชั่วคราว แต่หลังจากสถานการณ์คลี่คลายลง บริษัทฯ พร้อมที่จะกลับมาผลักดันแผนการดังกล่าวอีกครั้ง

ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ถือเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูงสำหรับเอชเวิลด์ เนื่องจากเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวชาวจีน และถือเป็นพื้นที่ที่ยังไม่ได้รับความสนใจจากบริษัทมากนัก โดยปัจจุบันมีเพียงสาขาเดียวที่สิงคโปร์เท่านั้น

ขณะที่ เฮอ จีฮง หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์ของบริษัท ระบุในการประชุมสัมมนาด้านการลงทุนโรงแรมที่ฮ่องกงเมื่อเดือนมี.ค.ที่ผ่านมาว่า ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นับเป็นแหล่งโอกาสทางกลยุทธ์ที่น่าสนใจ โดยบริษัทเริ่มให้ความสำคัญกับประเทศต่างๆ ในภูมิภาคนี้ อาทิ เวียดนาม อินโดนีเซีย กัมพูชา และฟิลิปปินส์

ทั้งนี้ เอช เวิลด์ถือกำเนิดขึ้นในปี 2005 โดยจี ชี ผู้บุกเบิกธุรกิจผู้มีชื่อเสียงอันโด่งดังและผู้ร่วมก่อตั้งบริษัททัวร์ยักษ์ใหญ่ของจีนอย่าง "ซีทริป" ซึ่งปัจจุบันรู้จักกันในนาม "ทริป.คอม กรุ๊ป" ก้าวแรกของบริษัทคือการดำเนินกิจการโรงแรมราคาประหยัดในแบรนด์ "ฮานติง" ที่มีสาขากระจายอยู่ทั่วประเทศจีน ความเจริญรุ่งเรืองของเอชเวิลด์เติบโตควบคู่ไปกับการการเติบโตของเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวภายในประเทศจีน จนกระทั่งปัจจุบันบริษัทได้ขยายกลยุทธ์สู่การสร้างแบรนด์โรงแรมในหลากหลายระดับ อาทิ การก่อตั้งแบรนด์จี โฮเต็ลสำหรับกลุ่มลูกค้าระดับกลางในสิงคโปร์

ด้านบทวิเคราะห์ของนิกเคอิ เอเชีย รายงานว่า การขยายธุรกิจของเอชเวิลด์ กรุ๊ป ครั้งนี้มีเป้าหมายในการรักษาอัตราการเติบโตของบริษัทฯ ต่อไป แม้ว่าปัจจุบันจะมีการขยายสาขาอย่างรวดเร็วทั่วจีนผ่านระบบแฟรนไชส์และรูปแบบอื่นๆ แต่ตลาดโรงแรมในเมืองต่างๆ ของจีนถือว่ากำลังอิ่มตัว

นอกจากนี้ เอชเวิลด์มีความหวังว่า การนำแบรนด์โรงแรมในระดับกลางและพรีเมียมที่ได้มาจากการเข้าซื้อกิจการบริษัทของเยอรมนี อย่างสไตน์เบิร์กเกอร์และแมกซ์ มาใช้ประโยชน์ จะช่วยให้บริษัทก้าวสู่การเป็นผู้นำธุรกิจโรงแรมในระดับโลก และสามารถแข่งขันกับโรงแรมเครือยักษ์ใหญ่ของสหรัฐและยุโรปได้

เฮอ กล่าวต่อว่า จุดแข็งสำคัญที่ทำให้บริษัทฯ มีความได้เปรียบในการดำเนินธุรกิจ คือการพัฒนาระบบปฏิบัติการรองรับการทำงานทุกด้านด้วยตัวเอง อาทิ ระบบจองห้องพัก ระบบบริหารความสัมพันธ์ลูกค้าบนฐานข้อมูล ระบบวิเคราะห์ข้อมูล ระบบบริหารทรัพย์สินโรงแรม พร้อมทั้งแอปพลิเคชันสำหรับลูกค้า

"เราสร้างระบบบริหารงานด้านต่างๆ และระบบบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานขึ้นเองภายในองค์กร ดังนั้นบริษัทจึงมีระบบนิเวศน์ที่ครบวงจรและเป็นระบบที่ใช้กันเองภายในเครือ" หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์กล่าวเสริม

โดยระบบดังกล่าวนับเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เอช เวิลด์สามารถบริหารจัดการธุรกิจโรงแรมได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว คาดว่าจะเป็นกำลังสำคัญในการผลักดันการขยายกิจการสู่สากลในระยะต่อไป

"เอช เวิลด์ เป็นกลุ่มโรงแรมที่แตกต่างด้วยการนำเทคโนโลยีมาสร้างนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่น อีกทั้งยังเป็นกุญแจสำคัญในการเปิดประตูสู่การเข้าถึงแหล่งรายได้ใหม่ๆ ทำให้อุตสาหกรรมโรงแรมก้าวสู่ขนาดที่ใหญ่ขึ้น มีประสิทธิภาพและผลกำไรมากยิ่งขึ้นไปอีก"

อ้างอิง: Nikkei Asia