กานเวลา คราฟต์ช็อกโกแลตไทยสุดปัง บุกกรุงเพิ่มสาขาลูกค้าเข้าถึงง่ายขึ้น
กานเวลา (KanVela) จากคราฟต์ช็อกโกแลตที่เคยเสิร์ฟบนสายการบินไทย สู่การบุกเมืองกรุงเป็นสาขาที่ 2 ย่านเจริญกรุงในปี 2024 เจาะลึกการพัฒนาสินค้า และทิศทางธุรกิจในวันที่ผลผลิตโกโก้ทั่วโลกลดลงจากภาวะโลกร้อน
KEY
POINTS
- กานเวลา (KanVela) จากคราฟต์ช็อกโกแลตที่เคยเสิร์ฟบนสายการบินไทย สู่การบุกเมืองกรุงเป็นสาขาที่ 2 ย่านเจริญกรุงในปี 2024
- ชวนเจาะลึกการพัฒนาสินค้าให้มีคุณภาพสูงจนได้ใบรับรองมาตรฐานด้าน food safty รวมถึงอัปเดตทิศทางธุรกิจ ในวันที่ผลผลิตโกโก้ทั่วโลกลดลงจากภาวะโลกร้อน
- เจ้าของแบรนด์ยอมรับว่า ผลกระทบจากโลกร้อนเป็นสิ่งที่ผู้ปลูกโกโก้หนีไม่พ้น แต่มองว่าจะสามารถบริหารจัดการกับวิกฤตินี้ให้เป็นโอกาสได้อย่างไรมากกว่า ขณะที่ทิศทางธุรกิจในอนาคตจะเน้นเปิดสาขาให้ผู้บริโภคเข้าถึงได้มากขึ้น
หากพูดถึงช็อกโกแลตพรีเมียมฝีมือคนไทย ในวันนี้คงไม่มีใครไม่รู้จัก “KanVela Craft Chocolate” แบรนด์คราฟต์ช็อกโกแลตชื่อดังที่ครั้งหนึ่งเคยเสิร์ฟบนสายการบินไทย โดยเป็นสินค้าที่ผลิตด้วยเมล็ดโกโก้แท้จากสวนโกโก้ อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ และจากสวนโก้โก้หมู่บ้านคลองลอย อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ผ่านกรรมวิธีการแปรรูปที่ได้มาตรฐานระดับสูง จนได้ออกมาเป็นช็อกโกแลตคุณภาพภาพดี และนำไปต่อยอดเป็นช็อกโกแลตบาร์ ช็อกโกแลตบงบง ไอศกรีม และเครื่องดื่มช็อกโกแลตหลากหลายรสชาติออกมาจำหน่าย
จากฐานที่มั่นในเชียงใหม่ที่มีโชว์รูมอยู่ทั้งหมด 3 สาขา สู่การบุกเข้าเมืองกรุงด้วยการเปิดร้าน KanVela (กานเวลา) Craft Chocolate Cafe ในกรุงเทพฯ อีกสองสาขา โดยสาขาล่าสุดตั้งอยู่ที่โรงแรมเดอะ สลิล ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพ ถนนเจริญกรุง ซึ่งเพิ่งจะแนะนำตัวกับเหล่านักชิมไปเมื่อช่วงสงกรานต์ ปี 2024 ที่ผ่านมานี่เอง
ว่าแต่.. ท่ามกลางวิกฤติปัญหาภาวะโลกร้อน ที่ส่งผลกระทบให้ผลผลิตโกโก้ทั่วโลกมีปริมาณลดลงในช่วง 1-2 ปีมานี้ ผลกระทบดังกล่าวจะเกิดกับสวนโกโก้ในไทย และกระทบกับธุรกิจแบรนด์ “กานเวลา” หรือไม่ ชวนหาคำตอบไปกับ กรุงเทพธุรกิจ ซึ่งเราได้มีโอกาสพูดคุยกับ “ธนา คุณารักษ์วงศ์” เจ้าของและผู้ก่อตั้งแบรนด์กานเวลาถึงประเด็นนี้ พร้อมเจาะลึกถึงทิศทางธุรกิจในปีนี้และในอนาคตข้างหน้าของแบรนด์ด้วย
ย้อนรอย 6 ปี เปิดที่มาแบรนด์กานเวลา ผ่านอะไรมาบ้าง? ก่อนบุกเบิกฐานใหม่ในเมืองกรุง
ธนา คุณารักษ์วงศ์ เล่าให้เราฟังว่า ย้อนไปเมื่อประมาณ 6 ปีที่แล้ว เขาหันหลังให้งานประจำแล้วเริ่มมาทำสวนผลไม้ในเชียงใหม่ ลองปลูกและขายผลไม้อยู่หลายชนิด แต่ไปๆ มาๆ ก็มาลงตัวที่การปลูกต้นโกโก้สายพันธุ์ชุมพรของไทย เพราะเป็นพืชที่ดูแลง่าย โตเร็ว ให้ผลผลิตได้ยาวนานหลายสิบปี ช่วงนั้นยังไม่ได้มองว่าจะทําธุรกิจช็อกโกแลต แต่เน้นขายผลโกโก้สดและเมล็ดโกโก้แห้งเท่านั้น
แต่พอเริ่มปลูกและขายผลผลิตที่เป็นวัตถุดิบให้ตลาดทางยุโรป-อเมริกา ได้สักประมาณปีหนึ่ง ก็เริ่มมองเห็นข้อจำกัดหลายอย่าง รวมถึงมองว่าการขายแต่วัตถุดิบแบบเดิมๆ ไม่มีการเพิ่มมูลค่าให้ตัวสินค้า ก็จะไม่สามารถทำให้เกิดธุรกิจที่ยั่งยืนได้ ดังนั้น ธนา จึงคิดมุมใหม่ว่า หากสามารถนำวัตถุดิบเมล็ดโกโก้ที่มีอยู่แล้วมาทําช็อกโกแลตเองเพื่อบริโภคในประเทศได้ โดยที่มีคุณภาพดีไม่แพ้ช็อกโกแลตที่นําเข้าจากต่างประเทศ หรืออาจดีกว่าของต่างประเทศ ก็จะสร้างความยั่งยืนในระบบธุรกิจ ตั้งแต่ผู้ปลูก ผู้แปรรูป ไปจนถึงผู้บริโภคสินค้า ซึ่งจะทำให้ธุรกิจเติบโตยั่งยืนได้มากกว่า
“เราจึงเริ่มศึกษาการแปรรูปว่า เมื่อได้ผลผลิตเมล็ดโกโก้สดๆ มาแล้ว ต้องนำมาหมักยังไง ตากแห้งยังไง เพื่อให้ได้วัตถุดิบตั้งต้นที่มีคุณภาพดีในการแปรรูปเป็นช็อกโกแลต ก็ใช้เวลาเป็นปีในการพัฒนาตรงนี้ขึ้นมา พอเราเริ่มเรียนรู้จนค้นพบวิธีการทําวัตถุดิบที่ดี และนำมาแปรรูปจนเป็นช็อกโกแลตที่ดีออกมาได้แล้ว เราก็เริ่มลองขายผ่านทางเพจเฟซบุ๊ก ขายแบบนั้นอยู่ประมาณครึ่งปี” ธนา อธิบาย
หลังจากที่ขายผ่านช่องทางออนไลน์อยู่ประมาณครึ่งปี เขาก็เริ่มเห็นกระแสตอบรับที่ดีลูกค้า มีทั้งคนที่สั่งเคยไปแล้วกลับมาสั่งซ้ำอีก รวมถึงได้รับคําชมจากลูกค้าที่ส่วนใหญ่ให้ฟีดแบก ว่า “ตื่นเต้นและประทับใจ” กับคราฟต์ช็อกโกแลตไทยจากเชียงใหม่
“ตอนนั้นผมเลยเริ่มมีความคิดว่าอยากจะมีร้านเล็กๆ สักร้านหนึ่งที่จะเป็นโชว์รูมอยู่ที่เชียงใหม่ เป็นที่สําหรับโชว์สินค้าช็อกโกแลตไทย อย่างน้อยมันก็เป็นความภูมิใจในผลผลิตจากสวนของเรา และสวนของพี่ๆ เกษตรกรที่เขาปลูกโกโก้ให้เรา ในที่สุดก็เป็นที่มาของแบรนด์กานเวลา สาขาแรกที่เชียงใหม่ เปิดเมื่อเดือนพฤศจิกายน ปี 2020”
จากนั้นคราฟต์ช็อกโกแลตดังกล่าวก็เริ่มออกเดินทางมาอีกหลายปี โดยมีพัฒนาการมากขึ้นเรื่อยๆ และขยายตัวถึง 3 สาขาที่เชียงใหม่ เมื่อมีลูกค้าขาประจำมากขึ้น ในที่สุดกานเวลาก็เริ่มบุกเข้าสู่เมืองกรุง เปิดสาขาแรกที่กรุงเทพฯ ณ ศูนย์สิริกิติ์ เมื่อเดือนกันยายน ปี 2023
เปิด 3 แนวคิดสู่การผลิตคราฟต์ช็อกโกแลตคุณภาพพรีเมียม จนชาวต่างชาติให้การยอมรับ
แม้เจ้าของแบรนด์จะออกตัวว่าช็อกโกแลตของกานเวลาไม่ได้ Premium กว่าแบรนด์อื่นๆ ในท้องตลาด เพราะมองว่าช็อกโกแลตไทยแต่ละแบรนด์ก็มีคอนเซ็ปต์เป็นของตัวเอง ทุกแบรนด์ล้วนมีความตั้งใจที่จะผลิตสินค้าที่ดีออกมาแน่นอน แต่หากให้อธิบายความพรีเมียมหรือสินค้าที่ดีในมุมมองของเขานั้น ธนาบอกว่ามันก็มีหลายๆ องค์ประกอบรวมกัน ไม่ว่าจะเป็น
1. ความนิ่งของรสชาติ
สินค้าที่ลูกค้ามาซื้อจากเราวันนี้ กับสินค้าที่ลูกค้ามาซื้อในอีกสองเดือนข้างหน้า ต้องมีคุณภาพและรสชาติคงที่เหมือนเดิม ลูกค้าควรจะต้องได้รับสินค้าในรสชาติที่เขาคาดหวัง เพราะการที่เขากลับมาซื้อซ้ำ แปลว่าเขาอยากจะกินในรสชาติที่เขาเคยได้กินเมื่อครั้งที่แล้ว เพราะฉะนั้น ความนิ่งและคุณภาพของสินค้าที่มีความเสมอต้นเสมอปลาย คือตัวชี้วัดว่าลูกค้าจะกลับมาหรือไม่กลับมาซื้อซ้ำกับเรา
2. ไม่เคยหยุดพัฒนาสินค้า
ตั้งแต่วันแรกที่แบรนด์กานเวลาเริ่มทำช็อกโกแลต ซึ่งเป็นแบบโฮมเมดทำกันในบ้าน จนมาถึงปัจจุบันนี้ที่มีไลน์การผลิตที่ใหญ่ขึ้น จากวันนั้นถึงวันนี้ทางแบรนด์ก็ยังคงใส่ใจในทุกๆ ขั้นตอนเหมือนเดิม และยังคงอยากที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์ของแบรนด์ให้ดียิ่งๆ ขึ้นไป ยกตัวอย่างในปีที่ผ่านมาแบรนด์กานเวลาได้รับใบรับรองมาตรฐานทางด้าน Food Safety ในระดับสูงคือ GHP (Good Hygiene Practice) และ HACCP (Hazard Analysis and Critical Control Point System) จากบูโร เวอริทัส ประเทศไทย (Bureau Veritas Thailand) ซึ่งเป็นองค์กรตรวจสอบการผลิตที่มีชื่อเสียงระดับโลก
“แบรนด์เราให้ความสำคัญมากในเรื่องของมาตรฐานและความปลอดภัยของอาหาร โดยเฉพาะ HACCP มีข้อดีคือ ช่วยให้เราสามารถกำหนดจุดที่เราต้องเน้นย้ำเป็นพิเศษ เพื่อให้สินค้าที่ส่งออกไปถึงมือลูกค้าปราศจากสารอันตราย และยังมีระบบที่สามารถตรวจสอบสินค้าย้อนกลับได้หมดเลยว่า สินค้าที่เราส่งออกไปผลิตวันไหน ล็อตที่เท่าไร ถ้ามีปัญหาขึ้นมาเราก็สามารถเรียกคืนสินค้ากลับมาได้ ซึ่งตรงนี้ผมมองว่ามันเป็นการสร้างความมั่นใจให้แก่ลูกค้าของเราได้” ธนา ย้ำ
3. ความหลากหลายของสินค้า
ข้อนี้เป็นความตั้งใจของแบรนด์อย่างมาก หากสังเกตดูจะพบว่า ในคาเฟ่ของกานเวลาแต่ละสาขาจะมีสินค้าช็อกโกแลตหลากหลายรสชาติมากๆ ไม่ว่าจะเป็น ดาร์กช็อกโกแลต มิลค์ช็อกโกแลต ไวท์ช็อกโกแลต ช็อกโกแลตรสซิตรัส รสแกงฮังเล รสมอคค่า ฯลฯ นั่นหมายความว่าตั้งแต่เด็กไปจนถึงผู้สูงอายุ หากเข้ามาที่ร้านแล้วทุกคนจะได้ช็อกโกแลตในรสชาติที่ตัวเองชอบติดมือกลับไป เพราะทางแบรนด์เน้นผลิตสินค้าที่ตอบโจทย์ความชอบของลูกค้าที่หลากหลายทุกเพศทุกวัย
“สินค้าตัวเดียวไม่ได้หมายความว่าทุกคนต้องชอบเหมือนกัน ความชอบในเรื่องขนม อาหาร เครื่องดื่ม เป็นเรื่องของปัจเจกบุคคล ซึ่งแต่ละคน ไม่มีทางที่จะชอบเหมือนกันอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น เราก็พยายามทำยังไงก็ได้ที่จะมอบสินค้าคุณภาพดีออกไปให้ครอบคลุมกับความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่ม อย่างน้อยเขามาร้านเราเขาก็จะได้มีความสุขที่ได้ของอร่อยถูกปากถูกใจกลับไป” ธนา เล่าเพิ่มเติม
นอกจากช็อกโกแลตบาร์และช็อกโกแลตบงบงแล้ว เจ้าของแบรนด์ยังได้แนะนำเมนูเครื่องดื่มสุดฮิตของทางร้าน ไม่ว่าจะเป็น “ช็อกโกแลตร้อน” และ “ช็อกโกแลตร้อน” ซึ่งถือเป็นเมนูเครื่องดื่มที่ขายดีที่สุดของทางร้าน โดยเฉพาะช็อกโกแลตร้อน ธนาบอกว่าใครที่อยากลิ้มลองเครื่องดื่มที่ได้สัมผัสช็อกโกแลตแท้ๆ แสนเข้มข้นต้องไม่พลาด! โดยเมนูนี้ได้รับฟีดแบกที่ดีมากๆ โดยเฉพาะลูกค้าชาวต่างชาติที่ประทับใจเมนูนี้มาก โดยแชร์ว่าเขาหาช็อกโกแลตร้อนรสชาติแบบนี้ไม่ได้ที่ประเทศของเขา และดีใจมากที่มาเจอช็อกโกแลตรสชาตินี้ที่เมืองไทย
วิกฤติผลผลิตโกโก้ที่ลดลงทั่วโลกจากปัญหาภาวะโลกร้อน ส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตโกโก้ในไทยหรือไม่?
เมื่อถามถึงประเด็นวิกฤติโลกร้อนที่ส่งผลให้ผลผลิตเมล็ดโกโก้ทั่วโลกลดจำนวนลงอย่างมาก จะกระทบกับผลผลิตโกโก้ของไทยด้วยหรือไม่? ธนา ได้แชร์มุมมองความคิดเห็นต่อเรื่องนี้ว่า ก็คงได้รับผลกระทบแน่นอน แต่ทางฝั่งของไทยอาจยังไม่หนักเท่าฝั่งแอฟริกาตะวันตก ซึ่งเป็นแหล่งปลูกโกโก้ขนาดใหญ่ของโลกมากถึง 70%
โดยจะเห็นว่าปีนี้ปัญหาภาวะโลกร้อนมีความรุนแรงมากขึ้นทั่วโลก สำหรับในไทยเองก็พบว่ามีอุณหภูมิสูงขึ้นกว่าช่วงหลายปีที่ผ่านมาเช่นกัน รวมถึงปริมาณน้ำต่างๆ ก็น้อยลง เพราะฉะนั้น เกษตรกรที่ปลูกโกโก้ก็ยิ่งต้องใส่ใจดูแลต้นโกโก้ให้มากขึ้น เท่าที่ทราบมาคือต้นมีโกโก้แห้งตายจากอากาศร้อนเยอะพอสมควรในแหล่งปลูกต้นโก้โก้ทั่วโลก
“สำหรับผลผลิตโกโก้ในไทยตอนนี้ผมมองว่ายังไม่กระทบมากนัก แต่อย่างไรก็ตาม เป็นสิ่งที่เราหนีไม่พ้น สุดท้ายแล้วมองว่าจะเป็นผลดีต่อเกษตรกรไทย เพราะวคนที่สามารถปลูกและดูแลต้นโกโก้ให้ได้ผลผลิตที่ดีได้นั้น กลายเป็นว่าพวกเขาจะมีตลาดรับซื้อที่มั่นคงแน่นอน เพราะตลาดทั่วโลกยังต้องการรับซื้อโก้โก้จำนวนมาก ดังนั้นมองว่าตัวเราจะสามารถหาทางบริหารจัดการกับวิกฤตินี้ให้เป็นโอกาสกับเราได้อย่างไรมากกว่า”
ทิศทางธรุกิจแบรนด์กานเวลาปี 2024 และในอนาคตข้างหน้า เน้นเพิ่มสาขาให้ลูกค้าเข้าถึงง่ายขึ้น
อย่างไรก็ตาม แบรนด์กานเวลาก็ยังคงจะพัฒนาธุรกิจให้เติบโตต่อไป ล่าสุด..ทางแบรนด์เพิ่งจะเปิดสาขาใหม่อีกหนึ่งสาขาในกรุงเทพฯ ที่ The Salil Hotel Riverside Bangkok ในย่านเจริญกรุง โดยเปิดเป็นร้านคีออส (Kiosk) ในโรงแรมดังกล่าว ซึ่งถือเป็นการนำร่องในทิศทางธุรกิจของกานเวลาตั้งแต่นี้ไป คือ จะเน้นกระจายร้านค้าของแบรนด์กานเวลาให้ออกไปสู่วงกว้างมากขึ้น
“เราได้รับฟังเสียงจากลูกค้าหลายครั้งพบว่า ลูกค้ามีความต้องการสินค้า แต่ติดปัญหาว่าอยู่ไกลบ้าง หรือเดินทางมาซื้อไม่สะดวก หรืออยากให้มาเปิดใกล้บ้านบ้าง ฯลฯ เราเลยต้องการที่จะขยายสาขาเป็นร้านขนาดย่อมออกไปหาลูกค้าในหลากหลายพื้นที่มากขึ้น ก็พยายามจะขยายให้ได้มากที่สุดเท่าที่โอกาสทางธุรกิจจะเอื้ออำนวย”
ท้ายที่สุด ธนา บอกถึงความฝันสูงสุดในการปั้นธุรกิจนี้ขึ้นมากับมือว่า เขาอยากจะเห็นแบรนด์กานเวลาเป็นแบรนด์ช็อกโกแลตที่ หากผู้บริโภคทั้งชาวไทยและต่างชาตินึกถึงช็อกโกแลตคุณภาพดี ก็ต้องมีชื่อ กานเวลา โผล่ขึ้นมาในใจของพวกเขา อีกทั้งทางแบรนด์ยังคงยึดมั่นในการทำธุรกิจด้วยวิถีความยั่งยืน ไม่เอาเปรียบใครในระบบซัพพลายเชน เพราะฉะนั้น การทำธุรกิจต่อไปในอนาคตทางแบรนด์ก็ยังจะยึดมั่นในแนวทางนี้ และกระจายผลประโยชน์สู่ทุกๆ ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับแบรนด์กานเวลาต่อไป
-------------------------------
รู้หรือไม่?
สินค้าช็อกโกแลตไทยของแบรนด์กานเวลา (KanVela) ได้รับรางวัลในระดับสากลมาแล้วมากมาย ยกตัวอย่างเช่น “72% Dark Chocolate Klong Loi Origin” ได้รับรางวัลถึง 3 รางวัลด้วยกัน คือ รางวัล Bronze จาก International Chocolate Awards Asia-Pacific ในปี 2020, รางวัล Bronze จาก Academy Of Chocolate (AOC) ของประเทศอังกฤษ ในปี 2021, รางวัล Silver จาก Academy Of Chocolate (AOC) ของประเทศอังกฤษ ในปี 2023
นอกจากนี้ยังมี “Honey Milk Chocolate Rice berry Cracker” ที่ได้รับรางวัล Bronze จาก International Chocolate Awards Asia-Pacific ในปี 2023 และรางวัล Bronze จาก Academy Of Chocolate (AOC) ของประเทศอังกฤษ ในปี 2023
รวมไปถึง “70% Dark Chocolate Thailand Origin” “Mango with Coconut Milk White Chocolate Vegan” “Salted Caramel with Jasmine Rice Cracker” และอีกมากมาย ที่ได้รับรางวัล Silver จาก Academy Of Chocolate (AOC) ของประเทศอังกฤษ ในปี 2023 ทั้งนี้ ดูรางวัลอื่นๆ เพิ่มเติมได้จากภาพข้างล่าง